วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พระปัญญาคุณ


2.  พระปัญญาคุณ
                พระปัญญาคุณ   หมายถึง   ปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้พระธรรมด้วยพระองค์เอง  ทรงเป็นผู้รู้ทั้งโลกและธรรม  ดังพระนามที่ได้รับ  เช่น  สัมมาสัมพุทโธ  วิชชาจรณสัมปันโน  และโลกวิทู  เป็นต้น  พระพุทธองค์ทรงมีพระญาณ ที่เรียกว่า  ทศพลญาณ 10 ประการ คือ  ฐานาฐานญาณ  ปัญญาหยั่งรู้สิ่งที่เป็นไปได้  และสิ่งที่เป็นไปไม่ได้      กรรมวิปากญาณ ปัญญาหยั่งรู้ผลของกรรมไม่ว่าจะซับซ้อนเพียงใด    สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ  ปัญญาหยั่งรู้ทางไปสู่ภูมิทั้งปวง  ไม่ว่าทุคติภูมิ  สุคติภูมิ  หรือนิพพาน     นานาธาตุญาณ ปัญญาหยั่งรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตประกอบด้วยธาตุต่างๆ    นานาธิมุตติกญาณ  ปัญญาหยั่รู้อัธยาศัย  จริต  ความเชื่อถือ  ความสนใจของบุคคลทั้งหลายว่ามีต่างๆ กัน     อินทรียปโรปริยัตตญาณ ปัญญาหยั่งรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์หรือความสามารถจะรู้ธรรมของบุคคลทั้งหลาย  ฌานาฑิสังกิเลสาทิญาณ ปัญญาหยั่งรู้ความเศร้าหมอง หรือความก้าวหน้าของธรรมทั้งหลายมีฌาน เป็นต้น   ที่อาจเสื่อมหรือเจริยก้าวหน้าได้    ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ปัญญาหยั่งรู้ระลึกชาติหนหลังได้     จุตูปปาตญาณ  ปัญญาหยั่งรู้การตายและการเกิดของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรม      อาสวักขยญาณ  ปัญญาหยั่งรู้ความสิ้นไปแห่งกิเลส
                ในพระพุทธประวัติ  ได้แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงปัญญาคุณล้ำเลิศ  ดังนี้
                1.  ทรงปัญญาล้ำเลิศในการตรัสรู้   การที่พระองค์ทรงค้นพบสัจธรรมที่เกี่ยวกับความทุกข์เหตุ  เหตุแห่งทุกข์  และวิธีดับทุกข์ได้อย่างแท้จริงด้วยพระองค์เอง  และทำให้พระองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น  มิใช่เพราะอำนาจลึกลับ  หรือพระเจ้าบนสรวงสวรรค์แต่งตั้งให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า  แต่
เพราะพระองค์ทรงตรัสรู่ธรรมวิเศษด้วยปัญญาของพระองค์เอง  ปัญญานั้นเรียกว่า โพธิญาณ  แปลว่า  ปัญญาตรัสรู้  จากพระพุทธประวัติ  เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสละความสุขทางโลกออกบวชเพื่อแสวงหา  โมกขธรรม  คือ  ธรรมที่ทำให้หลุดพ้นจากกิเลสซึ่งพระองค์ทรงค้นหาด้วยวิธีการวิจัย คือ ตั้งสมมติฐานว่า  ถ้าทำเช่นนี้แล้วจะได้อะไร  แล้วทดลองด้วยการศึกษาวิธีการจากสำนักต่างๆ  จนกระทั่งถึงการกระทำทุกรกิริยาซึ่งยากที่ผู้ใดจะกระทำได้  เพื่อให้ได้คำตอบ  จนพระองค์ทรางพบว่าวิธีการต่างๆ  เหล่านั้นไม่ได้ทำให้พ้นจากทุกข์ได้จริง พระองค์ก็ทรงเริ่มค้นคว้าด้วยวิธีการของพระองค์เอง  โดยทรงใช้ปัญญาอันล้ำเลิศของพระองค์ในการค้นหาโมกขธรรมที่ทำให้ทรงหลุดพ้นจากกิเลส  จนตรัสรู้ได้สำเร็จ
                2.  ทรงปัญญาล้ำเลิศในพระธรรม   พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์  เป็นเครื่องยืนยันถึงพระปัญญาของพระองค์ได้อย่างดียิ่ง  พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้นมีมากมายครอบคลุมและมีการจำแนกไว้อย่างเหมาะสมแก่ผู้รับคำสอน  ได้แก่  โลกิยธรรม  คือ  ธรรมของชาวโลก  สำหรับสอนผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด  เช่น  การครองเรือน  การทำมาหากิน  การคบหาสมาคม  การปกครองบ้านเมือง  เป็นต้น  ซึ่งครอบคลุมความต้องการของชาวโลกได้ทั้งหมด  และ  โลกุตตรธรรม  คือ  ธรรมของผู้ปฏิบัติธรรม  สำหรับสอนผู้ที่มุ่งนิพพาน  ซึ่งมีขั้นตอนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ  ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงรู้ด้วยปัญญาของพระองค์ว่า  มนุษย์ทุกคนไม่เหมือนกันมีความแตกต่างกัน  พระธรรมที่จะสอนคนเหล่านั้นจึงแตกต่างกันตามระดับของปัญญาและความต้องการแต่ละคน  นอกจากนี้
พระธรรมของพระองค์ยังสามารถทดลองพิสูจน์ได้  เพราะเป็นเรื่องของเหตุและผลทันสมัยอยู่เสมอ  แม้กาลเวลาล่วงเลยมาถึง 2,600 ปี แล้วก็ตาม
จนกระทั้งเด็กยอมรับเอง เป็นต้นจนกระทั้งเด็กยอมรับเอง เป็นต้น
                3.  ทรงปัญญาล้ำเลิศในการสอน   วิธีการสั่งสอนของพระองค์ได้แสดงให้เห็นว่าทรงมีพระปัญญาล้ำเลิศจริง  ได้แก่  การเตรียมการสอน  ซึ่งเป็นหลักการอันสำคัญยิ่งในการสอนทั่วไป  เป็นหลักที่ทันสมัย  แม้ในปัจจุบันก็ยังถือว่าเป็นเรื่องสำคัญในการสอน  พระองค์จะทรงเตรียมการล่วงหน้าก่อนที่จะสอนบุคคลต่างๆ  ได้อย่างเหมาะสม  ตัวอย่างเช่น  เมื่อทรงสอนพระองคุลิมาล  พระองค์ต้องแสดงฤทธิ์ให้พระองคุลิมาลเกิดความอัศจรรย์ใจมีความสนใจเสียก่อน  แล้วจึงสอนด้วยิวธีที่แยบคาย  เป็นต้น  นอกจากนี้ในเรื่องการเตรียมผู้เรียนหรือผู้ฟังคำสอนให้พร้อมที่จะรับคำสอนด้วย อนุปพพิกถา  คือ  การสอนจากง่ายไปหายากเป็นขั้นๆ ไป  เมื่อผู้เรียนพร้อมดีแล้วจึงทรงสอนธรรมในขั้นสูงต่อไป  นอกจากนี้ พระองค์ยังใช้วิธีสอนที่เหมาะสมกับพื้นฐานของผู้รับคำสอนด้วย  ตัวอย่างเช่น  ทรงสอนเด็กที่กำลังซุกซนไล่ตีงู  โดยใช้คำถามถามเด็กไปเรื่อยๆ
 จนกระทั้งเด็กยอมรับเอง เป็นต้น
 https://sites.google.com/site/socialstudiesm4/bth-thi1/1-2-phuthth-pra-wa

 

1 ความคิดเห็น: