2. พระปัญญาคุณ
พระปัญญาคุณ หมายถึง ปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้พระธรรมด้วยพระองค์เอง ทรงเป็นผู้รู้ทั้งโลกและธรรม ดังพระนามที่ได้รับ เช่น สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจรณสัมปันโน และโลกวิทู เป็นต้น พระพุทธองค์ทรงมีพระญาณ ที่เรียกว่า ทศพลญาณ 10 ประการ คือ ฐานาฐานญาณ ปัญญาหยั่งรู้สิ่งที่เป็นไปได้ และสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ กรรมวิปากญาณ ปัญญาหยั่งรู้ผลของกรรมไม่ว่าจะซับซ้อนเพียงใด สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ ปัญญาหยั่งรู้ทางไปสู่ภูมิทั้งปวง ไม่ว่าทุคติภูมิ สุคติภูมิ หรือนิพพาน นานาธาตุญาณ ปัญญาหยั่งรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตประกอบด้วยธาตุต่างๆ นานาธิมุตติกญาณ ปัญญาหยั่รู้อัธยาศัย จริต ความเชื่อถือ ความสนใจของบุคคลทั้งหลายว่ามีต่างๆ กัน อินทรียปโรปริยัตตญาณ ปัญญาหยั่งรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์หรือความสามารถจะรู้ธรรมของบุคคลทั้งหลาย ฌานาฑิสังกิเลสาทิญาณ ปัญญาหยั่งรู้ความเศร้าหมอง หรือความก้าวหน้าของธรรมทั้งหลายมีฌาน เป็นต้น ที่อาจเสื่อมหรือเจริยก้าวหน้าได้ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ปัญญาหยั่งรู้ระลึกชาติหนหลังได้ จุตูปปาตญาณ ปัญญาหยั่งรู้การตายและการเกิดของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรม อาสวักขยญาณ ปัญญาหยั่งรู้ความสิ้นไปแห่งกิเลส
ในพระพุทธประวัติ ได้แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงปัญญาคุณล้ำเลิศ ดังนี้
1. ทรงปัญญาล้ำเลิศในการตรัสรู้ การที่พระองค์ทรงค้นพบสัจธรรมที่เกี่ยวกับความทุกข์เหตุ เหตุแห่งทุกข์ และวิธีดับทุกข์ได้อย่างแท้จริงด้วยพระองค์เอง และทำให้พระองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น มิใช่เพราะอำนาจลึกลับ หรือพระเจ้าบนสรวงสวรรค์แต่งตั้งให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า แต่
เพราะพระองค์ทรงตรัสรู่ธรรมวิเศษด้วยปัญญาของพระองค์เอง ปัญญานั้นเรียกว่า โพธิญาณ แปลว่า ปัญญาตรัสรู้ จากพระพุทธประวัติ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสละความสุขทางโลกออกบวชเพื่อแสวงหา โมกขธรรม คือ ธรรมที่ทำให้หลุดพ้นจากกิเลสซึ่งพระองค์ทรงค้นหาด้วยวิธีการวิจัย คือ ตั้งสมมติฐานว่า ถ้าทำเช่นนี้แล้วจะได้อะไร แล้วทดลองด้วยการศึกษาวิธีการจากสำนักต่างๆ จนกระทั่งถึงการกระทำทุกรกิริยาซึ่งยากที่ผู้ใดจะกระทำได้ เพื่อให้ได้คำตอบ จนพระองค์ทรางพบว่าวิธีการต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้ทำให้พ้นจากทุกข์ได้จริง พระองค์ก็ทรงเริ่มค้นคว้าด้วยวิธีการของพระองค์เอง โดยทรงใช้ปัญญาอันล้ำเลิศของพระองค์ในการค้นหาโมกขธรรมที่ทำให้ทรงหลุดพ้นจากกิเลส จนตรัสรู้ได้สำเร็จ
2. ทรงปัญญาล้ำเลิศในพระธรรม พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ เป็นเครื่องยืนยันถึงพระปัญญาของพระองค์ได้อย่างดียิ่ง พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้นมีมากมายครอบคลุมและมีการจำแนกไว้อย่างเหมาะสมแก่ผู้รับคำสอน ได้แก่ โลกิยธรรม คือ ธรรมของชาวโลก สำหรับสอนผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด เช่น การครองเรือน การทำมาหากิน การคบหาสมาคม การปกครองบ้านเมือง เป็นต้น ซึ่งครอบคลุมความต้องการของชาวโลกได้ทั้งหมด และ โลกุตตรธรรม คือ ธรรมของผู้ปฏิบัติธรรม สำหรับสอนผู้ที่มุ่งนิพพาน ซึ่งมีขั้นตอนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงรู้ด้วยปัญญาของพระองค์ว่า มนุษย์ทุกคนไม่เหมือนกันมีความแตกต่างกัน พระธรรมที่จะสอนคนเหล่านั้นจึงแตกต่างกันตามระดับของปัญญาและความต้องการแต่ละคน นอกจากนี้
พระธรรมของพระองค์ยังสามารถทดลองพิสูจน์ได้ เพราะเป็นเรื่องของเหตุและผลทันสมัยอยู่เสมอ แม้กาลเวลาล่วงเลยมาถึง 2,600 ปี แล้วก็ตาม
จนกระทั้งเด็กยอมรับเอง เป็นต้นจนกระทั้งเด็กยอมรับเอง เป็นต้น
3. ทรงปัญญาล้ำเลิศในการสอน วิธีการสั่งสอนของพระองค์ได้แสดงให้เห็นว่าทรงมีพระปัญญาล้ำเลิศจริง ได้แก่ การเตรียมการสอน ซึ่งเป็นหลักการอันสำคัญยิ่งในการสอนทั่วไป เป็นหลักที่ทันสมัย แม้ในปัจจุบันก็ยังถือว่าเป็นเรื่องสำคัญในการสอน พระองค์จะทรงเตรียมการล่วงหน้าก่อนที่จะสอนบุคคลต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ตัวอย่างเช่น เมื่อทรงสอนพระองคุลิมาล พระองค์ต้องแสดงฤทธิ์ให้พระองคุลิมาลเกิดความอัศจรรย์ใจมีความสนใจเสียก่อน แล้วจึงสอนด้วยิวธีที่แยบคาย เป็นต้น นอกจากนี้ในเรื่องการเตรียมผู้เรียนหรือผู้ฟังคำสอนให้พร้อมที่จะรับคำสอนด้วย อนุปพพิกถา คือ การสอนจากง่ายไปหายากเป็นขั้นๆ ไป เมื่อผู้เรียนพร้อมดีแล้วจึงทรงสอนธรรมในขั้นสูงต่อไป นอกจากนี้ พระองค์ยังใช้วิธีสอนที่เหมาะสมกับพื้นฐานของผู้รับคำสอนด้วย ตัวอย่างเช่น ทรงสอนเด็กที่กำลังซุกซนไล่ตีงู โดยใช้คำถามถามเด็กไปเรื่อยๆ
จนกระทั้งเด็กยอมรับเอง เป็นต้น
https://sites.google.com/site/socialstudiesm4/bth-thi1/1-2-phuthth-pra-wa
😂😂😂
ตอบลบ