3. พระนางขุชชุตตรา
นางขุชชุตตรา เป็นอุบาสิกาตัวอย่างที่ถึงแม้เป็นคนพิการหลังค่อม แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ต่อสู้จากประสบความสำเร็จ เป็นผู้ที่มีความรู้แตก จนได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลมสามารถแสดงธรรมให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย ประวัติของท่านจึงมีคุณค่าแก่การศึกษาและยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตตามประวัตินางขุชชุตตรา เป็นลูกสาวของแม่นมคนหนึ่งของโฆษกเศรษฐี ซึ่งเป็นบิดาเลี้ยงของพระนางสามาวดี ในกรุงโกสัมพี เดิมชื่อ อุลตรา แต่เพราะนางเกิดมาเป็นคนพิการหลังค่อม คนขึงพากันเรียกว่า ขุชชุตตรา
ในสมัยเป็นสาว นางขุชชุตตราเป็นหญิงรับใช้ (ทาสี) คนหนึ่งของพระนางสามาวดี สมัยยังไม่ได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าอุเทน เมื่อพระนางสามาวดีได้เป็นพระมเหสีของเจ้าพระเจ้าอุเทน และเข้าไปอยู่ในพระราชวัง พระนางสามาวดีก็กราบทูลขอนำนางขุชชุตตราพร้อมกับหญิงรับใช้คนอื่น ๆ ไปอยู่ด้วย
นางขุชชุตตราเฝ้าปรนนิบัติรับใช้พระนางสามาวดีจนได้รับความไว้วางใจ ให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดซื้อดอกไม้ มาปักประดับตามสถานที่ต่าง ๆ ในปราสาท โดยเปลี่ยนดอกไม้ทุกวัน โดยได้รับเงินเฉพาะเป็นค่าดอกไม้วันละ 8 กหาปณะ ในกรุงโกสัมพีมีเศรษฐี 3 คนเป็นเพื่อนที่รักใคร่กันมาก คือ โฆษกเศรษฐี กุกกุฏเศรษฐี และปาวารเศรษฐี ครั้งหนึ่งเศรษฐีทั้งสามได้เดินทางไปทำการค้า ณ กรุงสาวัตถี แคว้นโกศล ได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าจนสำเร็จมรรคผลเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบัน หลังจากนั้นกราบทูลลาพระพุทธเจ้ากลับกรุงโกสัมพี ได้พร้อมใจกันสร้างวัดขึ้น 3 แห่ง คือ โฆษกเศรษฐีสร้างวัดโฆสิตาราม กุกกุฏเศรษฐีสร้างวัดกุกกุฏาราม และปาวารเศรษฐีสร้างวัดปาวาริการาม
ครั้งหนึ่งเศรษฐีทั้ง 3 คน ได้ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จมาแสดงธรรมที่กรุงโกสัมพี เมื่อพระพุทธองค์ทรงรับคำอาราธนาและเสด็จมาถึง ได้ประทับอยู่ที่วัดทั้ง 3 แห่งนี้ โดยทรงหมุนเวียนไปประทับ ณ วัดทั้ง 3 แห่งตามคำทูลอาราธนาของเศรษฐีแต่ละคน เศรษฐีแต่ละคนก็ได้ทำบุญถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ณ วัดของตนเป็นเวลา 1 เดือนอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่ทำบุญ เศรษฐีทั้ง 3 คนได้สั่งซื้อดอกไม้เพื่อมาบูชาพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกทุกวัน โดยสั่งซื้อจากนายสุมนะพ่อค้าขายดอกไม้ และให้นำดอกไม้มาส่งที่บ้านทุกวัน เมื่อสุมนะนำดอกไม้มาส่งที่บ้านของเศรษฐี ได้เห็นพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกก็เกิดจิตศรัทธาเลื่อมใสอยากทำบุญบ้าง จึงได้เข้าไปขอโอกาสกับเศรษฐีทั้ง 3 คน เพื่อกราบทูลนิมนต์ให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปฉันภัตตาหารที่บ้านของตน ซึ่งเศรษฐีทั้ง 3 คนก็ตกลง
เมื่อสุมนะพ่อค้าดอกไม้ได้มีโอกาสจากเศรษฐีทั้ง 3 แล้วก็มีการตระเตรียมงานทำบุญ โดยเตรียมภัตตาหารและเครื่องสักการะสำหรับถวายพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวก ขณะเดียวกันนางขุชชุตตราไปซื้อดอกไม้ แต่นายสุมนะไม่มีเวลาจะจัดให้และได้ขอให้นางอยู่ช่วยงานก่อน นางขุชชตราจึงตกลง
เมื่อพระพุทธองค์พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเสด็จมาถึงและทรงฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว พระองค์ก็ทรงแสดงอนุโมทนาในการทำบุญของสุมนะ นางขุชชุตตราซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้นด้วย ได้ฟังธรรมจบแล้วก็สำเร็จมรรคผลเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบัน
เมื่อพระพุทธองค์เสด็จกลับไปประทับอยู่ที่วัดพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก นางสุมนะก้ได้จัดดอกไม้ให้นางขุชชุตตรา นางขุชชุตตราเมื่อได้ดอกไม้แล้วก็รีบกลับพระราชวังด้วยความอิ่มเอิบใจ ก่อนที่จะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า นางขุชชุตตราได้ยักยอกเงินค่าซื้อดอกไม้วันละ 4 กหาปณะ แต่เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว นางขุชชุตตราตั้งอยู่ในศีล 5 วันนั้นนางซื้อดอกไม้ด้วยเงินทั้งหมด 8 กหาปณะ พระนางสามาวดีทอดพระเนตรเห็นผิดสังเกตที่นางนางขุชชุตตราซื้อดอกไม้มากกว่าปกติจึงตรัสถามนางขุชชุตตราก็ได้สารภาพและเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ตนงดเว้นการทำชั่ว โดยวิธียักยอกเงินค่าซื้อดอกไม้
พระนางสามาวดีทรงฟังเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงโยกให้นางขุชชุตตรา และทรงใคร่ที่จะฟังธรรมนั้นเป็นอย่างยิ่ง จึงตรัสกับนางขุชชุตตราว่า ฉันยกโทษให้เธอ แต่ฉันอยากฟังธรรมที่เธอได้ฟังจากพระพุทธเจ้า ขอให้เธอแสดงธรรมนั้นให้พวกฉันได้ฟังด้วยเถิด นางขุชชุตตราจึงได้แสดงธรรมที่ตนฟังมาจากพระพุทธเจ้าให้พระนางสามาวดีและหญิงรับใช้ฝ่ายในทั้งหมดของพระนางสามาวดีฟัง จนพระนางสามาวดีพร้อมกับหญิงรับใช้ได้สำเร็จมรรคผลเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบันเช่นเดียวกับนางตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระนางสามาวดีและหญิงรับใช้ฝ่ายในพร้อมใจกันตั้งนางขุชชุตตราไว้ในตำแหน่งอาจารย์ คือ ให้ไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วกลับมาแสดงแก่พวกตน ทั้งนี้เพราะนางสามาวดีไม่อาจเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเองได้
จากความสามารถในการแสดงธรรม จนทำให้พระนางสามาวดีและเหล่าหญิงรับใช้ฟังแล้วเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าจึงทรงประกาศยกย่องนางขุชชุตตราให้เป็นเลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลายในด้านเป็นนักแสดงธรรมให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย นางขุชชุตตราเป็นกำลังในการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ไม่นานนัก ต่อมานางได้ถึงแก่กรรมโดยถูกไฟคลอกตายทั้งเป็นไปในปราสาท พร้อมกับพระนางสามาวดีและหญิงรับใช้คนอื่นๆ เพราะกลอุบายเผาปราสาทของพระนางมาคันทิยา พระมเหสีอีกองค์หนึ่งของพระเจ้าอุเทน
คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง
นางขุชชุตตรามีคุณธรรมเด่นชัดที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตหลายประการ ดังนี้
1. เป็นผู้ที่สนใจใฝ่รู้ คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากคราวที่นายสุมนะพ่อค้าดอกไม้ทำบุญถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ได้ขอร้องให้ช่วยงานทำบุญ นางขุชชุตตราก็ยินดีช่วย และเมื่อเสร็จการถวายภัตตาหารแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมให้ฟัง นางก็ตั้งใจฟังอย่างสนใจ จนเข้าใจธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงอย่างแจ่มแจ้งที่เรียกว่า เกิดดวงตาเห็นธรรม ยังผลให้นางได้สำเร็จมรรคผลเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบัน ที่สามารถทำลายความเห็นว่าร่างกายเป็นตัวตน (สักกายทิฐิ) ความสงสัยในบาปบุญ (วิจิกิจฉา) และความเชื่อถืองมงาย (สีลัมพตปรามาศ) เสียได้ และเพราะความที่นางเป็นคนที่สนใจใฝ่รู้ในธรรมอย่างจริงจัง นางจึงสามารถยกฐานะของตนพ้นจากความเป็นหญิงรับใช้ซึ่งมีหน้าที่จัดซื้อดอกไม้ประจำตัวมาเป็นอาจารย์ผู้สอนธรรมแก่พระนางสามาวดีผู้เป็นนายและเหล่าหญิงรับใช้คนอื่น ๆ ได้
2. เป็นผู้ที่รู้จักรับผิดชอบชั่วดี คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จาก คราวที่พระเจ้าอุเทนพระราชทานเงินเฉพาะเป็นค่าดอกไม้แก่พระนางสามาวดี วันละ 8 กหาปณะ พระนางสามาวดีได้มอบหมายให้นางขุชชุตตรามีหน้าที่ไปซื้อดอกไม้มาปักประดับสถานที่ ก่อนที่จะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า นางได้ยักยอกเงินค่าซื้อดอกไม้ไว้วันละ 4 กหาปณะ แต่เมื่อได้ฟังธรรมแล้วได้หยุดพฤติกรรมดังกล่าวเสีย ตั้งอยู่ในศีล 5 และสารภาพความผิดของตนต่อพระนางสามาวดีผู้เป็นนาย
3. เป็นผู้มีสติปัญญาความรู้ความสามารถสูง คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากเมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่นายสุมนะพ่อค้าดอกไม้ นางขุชชุตตราก็อยู่ในที่นั้นด้วย ได้ฟังขนขบแล้วนางก็สำเร็จมรรคผลชั้นโสดาบัน จากนั้นก็นำธรรมที่ตนได้ฟังมาจากพระพุทธเจ้าถ่ายทอดให้พระนางสามาวดีและหญิงรับใช้ฝ่ายในทั้งหมดฟัง สามารถแจกแจงแสดงจนคนเหล่านั้นเข้าใจในธรรม และสำเร็จมรรคผลเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบันเช่นเดียวกับตน อีกทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็นอาจารย์ผู้สอนธรรมเป็นประจำ เรื่องดังกล่าวทราบไปถึงพระพุทธองค์ พระพุทธองค์จึงประกาศยกย่องว่า เป็นผู้มีความสามารถแสดงธรรมได้เป็นเลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลาย
http://jakkrit-buddhism2.blogspot.com/2010/07/blog-post.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น