6. จูฬสุภัททา
นางจูฬสุภัททาเป็นธิดาของอนาถบิณฑิกเศรษฐี การที่นางได้ชื่อว่า จูฬสุภัททา (สุภัททาเล็ก) เพราะนางมีพี่สาวคนหนึ่งที่ชื่อมหาสุภัททา (สุภัททาใหญ่) เดิมท่านเศรษฐีแต่งตั้งให้นางมหาสุภัททาเป็นผู้จัดการเกี่ยวกับการเลี้ยงพระสงฆ์ซึ่งทำอยู่ประจำ จนนางมหาสุภัททาแต่งงาน มีครอบครัวไป ท่านเศรษฐีจึงตั้งนางจูฬสุภัททาให้ทำหน้าที่แทน นางปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเรียบร้อย และได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าบรรลุโสดาบันปัตติผลเป็นพระโสดาบัน
อนาถบิณฑิกเศรษฐีมีเพื่อคนหนึ่งชื่อ อุคคะ เป็นเศรษฐีอยู่ในนครอุคคนคร ทั้งสองคนเคยศึกษาศิลปะในสำนักอาจารย์เดียวกันสมัยยังหนุ่ม และได้ทำกติกากันว่า เมื่อมีครอบครัวกันแล้ว ถ้าฝ่ายหนึ่งสู่ขอธิดาให้บุตรชายของตน และอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องให้ ครั้งหนึ่ง อุคคเศรษฐีไปค้าขายยังกรุงสาวัตถีด้วยเกวียนเป็นอันมาก และไปพักอยู่กับอนาถบัณฑิกเศรษษฐี อนาถบิณฑิกเศรษฐีมอบหน้าที่ต้อนรับทุกอย่างให้นางจูฬสุภัททา นางปฏิบัติหน้าที่อย่างดียิ่งทั้งในด้านจัดที่พัก จัดอาหาร จัดประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ ของหอม เป็นต้น อุคคเศรษฐีมีความพอใจมาก วันหนึ่งมีโอกาสเหมาะจึงเตือนอนาถบิณฑิกเศรษฐีถึงกติกาที่เคยทำกันไว้ กล่าวคือ สู่ขอนางจูฬสุภัททาให้บุตรชายของตน และอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ยอมรับอุคคเศรษฐีนั้นเป็นทิจฉาทิฏฐิ คือ นับถือศาสนาอื่นนอกจากพระพุทธศาสนา อนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงเรียกลูกสาวมาอบรมสั่งสอนด้วยหลักคำสอน 10 ประการ ตามที่นิยมกันในสมัยนั้น เพื่อให้เป็นภรรยาที่ดี ซึ่งหลักคำสอนทั้ง 10 ประการนี้ ธนญชัยเศรษฐีเคยใช้สั่งสอนนางวิสาขาบุตรสาวของตนมาแล้ว ดังนี้
1) ไฟในอย่านำออก คือ อย่านำเรื่องไม่ดีภายในบ้านไปพูดให้คนนอกบ้านฟัง
2) ไฟนอกอย่านำเข้า คือ อย่านำเรื่องไม่ดีภายนอกบ้านมาให้คนภายในบ้านฟัง
3) ให้แก่คนที่ให้ คือ คนที่ยืมของแล้วนำมาคืน ต่อไปถ้ามายืมก็ควรให้ หมายถึง ให้เอื้อเฟื้อแก่คนที่รู้จักหน้าที่และรับผิดชอบ
4) อย่าให้แก่คนที่ไม่ให้ คือ คนที่ยืมของไปแล้วไม่ยอมคืน หากมายืมอีกก็ไม่ควรให้ หมายถึง ไม่ควรเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนที่ไม่รู้จักหน้าที่และไม่รับผิดชอบ
5) ให้แก่คนที่ให้และไม่ให้ คือ ญาติมิตร แม้จะขอยืมอขงไปแล้ว เอามาคืนหรือไม่ก็ตามก็ควรให้ยืมอีก
6) นั่งให้เป็นสุข คือ อย่านั่งในที่ซึ่งเมื่อพ่อสามี แม่สามี หรือสามีเดินผ่านตนเองแล้วตนเองจะต้องลุกให้ หมายมิได้ให้ล่วงละเมิดสิทธิและหน้าที่ของพ่อสามี แม่สามี และสามี
7) นอนให้เป็นสุข คือนอนภายหลังพ่อสามี แม่สามี และสามี
8) กินให้เป็นสุข คือให้กินอาหารภายหลังจากพ่อสามี แม่สามี และสามีอิ่มแล้ว
9) บูชาไฟ คือ ให้เคารพยำเกรงพ่อสามี แม่สามี และสามีดุจไฟ
10) บูชาเทวดา คือ ให้ดูแลเอาใจใส่และนับถือพ่อสามี แม่สามี และสามีดุจเทวดา
นอกจากนี้อุคคเศรษฐียังได้แต่งตั้งบุคคลผู้มีหลักฐาน 8 คนเป็นผู้ดูแล หากนางจูฬสุภัททาถูกกล่าวหาด้วยประการใด ให้บุคคลเหล่านั้นเป็นผู้พิจารณาชำระข้อกล่าวหา แล่วอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ส่งนางจูฬสุภัททาไปสู่ตระกูลสามีด้วยเกียรติอันยิ่งใหญ่
วันหนึ่ง อุคคเศรษฐีกระทำการมงคล เลี้ยงอาหารพวกชีเปลือยซึ่งเป็นนักบวชนอกพระพุทธศาสนา แล้วส่งข่าวไปบอกนางจูฬสุภัททาให้มาไหว้ชีเปลือย นางไม่สามารถดูชีเปลือยได้เพราะความละอาย จึงไม่มาไหว้ เศรษฐีโกรธมากสั่งให้คนไล่นางออกจากเรือน นางบอกว่าต้องให้บุคคลผู้มีหลักฐาน 8 คนเป็นผู้ตัดสินว่านางผิดหรือไม่ บุคคลเหล่านั้นได้รับเชิญมาพิจารณาแล้วตัดสินว่านางไม่ผิด เศรษฐีจึงบอกกับภรรยาของตนให้สอบถามนางจูฬสุภัททาว่า สมณะของนางเป็นอย่างไร
ภรรยาเศรษฐีถามว่า สมณะของเธอมีศีล มีข้อวัตรปฏิบัติอย่างไร เธอจึงสรรเสริญนัก
นางจูฬสุภัททาประกาศพระคุณของพระพุทธเจ้า และพุทธสาวกด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้
- สมณะของดิฉันมีอินทรีย์อันสงบ จิตสงบ การยืน การเดินของท่านก็สงบ ท่านมีนัยน์ตาทอดลง พูดพอประมาณ
- กายกรรมของท่านสะอาด วจีกรรมไม่ขุ่นมัว มโนกรรมบริสุทธิ์ยิ่ง
- ท่านบริสุทธิ์ทั้งภายนอกและภายใน ปราศจากมลทิน เต็มเปี่ยมด้วยธรรมอันบริสุทธิ์
- ชาวโลกมีใจฟูขึ้น เพราะลาภ ยศ สรรเสริญ และมีแฟบลง เพราะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ แต่สมณะของดิฉันมีจิตใจเสมอเหมือนกันในโลกธรรมทั้งปวง ภรรยาเศรษฐีต้องการจะเห็นพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ จึงให้นางจูฬสุภัททานิมนต์มา เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไป ณ ที่นั้น ทั้งเศรษฐี ภรรยา และบริวารเกิดความเลื่อมใส ถวายทานมีกำหนด 7 วัน ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าจนบรรลุโสดาปัตติผล
http://jakkrit-buddhism2.blogspot.com/2010/07/blog-post.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น