วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พระมหากรุณาคุณ



3. พระมหากรุณาคุณ
                พระมหากรุณาคุณ  หมายถึง  พระคุณของพระพุทธเจ้าที่ทรงตั้งพระทัยจะเผยแผ่พระธรรมสั่งสอนสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ของพระองค์ที่มีต่อสัตว์โลก  โดยเสด็จไปแสดงธรรมโปรดสัตว์ตั้งแต่ตรัสรู้จนปรินิพพาน  ทรงฝึกอบรมสั่งสอนบุคลทุกเพศทุกวัยทุกชั้นวรรณะให้บรรลุมรรคผลแห่งความดับทุกข์  อย่างน้อยเป็นกัลยาณปุถุชน  คือ  บุคคลผู้มีคุณธรรมสูง ยกเว้นผู้ที่เป็น  ปทปรมะ  คือ  บุคคลผู้ด้อยปัญญาไม่สามารถเรียนรู้ได้  หรือที่เรียกว่า บัวใต้น้ำ  พระพุทธองค์ทรงเป็นศาสดาของมนุษย์  3  จำพวกคือ
1.               ผู้รู้ได้เร็วพลัน                                                                                                      
2.               ผู้ค่อยๆ รู้ไปตามลำดับ
3.               ผู้พอฝึกฝนอบรมได้
ทรงเป็นศาสดาของเทวดา  3  จำพวกคือ
1.               สมมติเทพ  แปลว่า  เทวดาโดยสมมติ หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน  พระราชินี  และพระบรมวงศานุวงศ์
2.               อุปปัติเทพ แปลว่า  เทวดาโดยกำเนิด  หมายถึง  เหล่าเทวดา  พระอินทร์  และพระพรหมทั้งหลาย
3.               วิสุทธิเทพ  แปลว่า  เทวดาโดยความบริสุทธิ์  หมายถึง  พระอรหันต์
พระมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้านั้นมีแสดงให้เห็นอยู่ในพุทธประวัติมากมายซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
1.  ทรงพระกรุณาสั่งสอนโลก   เมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสรุ้แล้วนั้น  ประโยชน์ส่วนพระองค์ก็เป็นอันจบสิ้น  ไม่มีธุระที่จะต้องทรงทำอีก
ต่อไป  ดังที่ได้ตรัสบอกแก่ปัญจวคีในวันที่แสดงปฐมเทศนาว่า กตัง  กรณียัง....  กิจธุระที่พึงทำ ได้ทรงทำเสร็จสิ้นแล้ว...”      “อยมันติมาชาติ  นัตถิทานิ  ปวุนัพภโว....  ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย  เรื่องเกิดใหม่สิ้นสุดกันที...”         พุทธพจน์ดังกล่าวแสดงถึงความจบสิ้นของประโยชน์ส่วนพระองค์  พระองค์ใช้เวลา
ตกลงพระทัยอยู่หลายวันว่า จะทรงนำเอาความจริงที่ตรัสรู้นั้นไปเที่ยวสั่งสอนต่อผู้อื่นหรือไม่  ถ้าพระองค์ตกลงพระทัยไม่สั่งสอนประโยชน์ส่วนพระองค์ก็ยังคงอยู่  คือดำรงชีพไปจนถึงอายุขัยก็ดับขันธปรินิพพานไป  ไม่ต้องทรงเหน็ดเหนื่อยตรากตรำ  แต่ประโยชน์ของชาวโลกจะเสียหายร้ายแรง คือ ผู้ที่จะได้รู้เห็นจริงแล้วพ้นทุกข์ตามพระองค์ไปจะไม่มีเลย  โลกจะไม่มีพระพุทธศาสนา  ไม่มีคำสั่งสอนอันประเสร็ฐแก่ชาวโลก  การคิดถึงประโยชน์ของผู้อื่น  โดยไม่สนใจกับความทุกข์ยากของพระองค์เอง  แสดงให้เห็นถึงความกรุณาอันยิ่งใหญ่ที่มีอยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์
                2.  ทรงพระกรุณาเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกล   พระองค์เริ่มแผยแผ่คำสั่งสอนด้วยการเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์  ต่อจากนั้นก็ทรงสั่งสอนเรื่อยมาจนมีพุทธสาวาจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ  พระองค์ทรงให้พุทธสาวกเหล่านั้นเป็นกำลังสำคัญในการสั่งสอนพระธรรมให้กว้างขวางยิ่งขึ้น  โดยมีพระดำรัสว่า                 ภิกษุทั้งหลาย  เราได้พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์  ทั้งที่เป็นของมนุษย์  แม้ท่านทั้งหลายก็เหมือนกัน  ท่านทั้งหลายจงเที่ยวไปในชนบท  เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนเป็นอันมาก  แต่อย่าไปรวมกัน  2  รูป  โดยทางเดียวกัน  จงแสดงธรรมมีคุณในเบื้องต้น  ท่ามกลาง  ที่สุดจงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถพยัญชนะ  อันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง  สัตว์ทั้งหลายที่มีกิเลศบังปัญญาดุจธุลีในจักษุน้อย เป็นปกติมีอยู่  เพราะโทษที่ไม่ได้ฟังธรรม  ย่อมเสื่อมจากคุณที่จะพึงได้พึงถึงผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักรมีอยู่  แม้เราก็จะไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อจะแสดงธรรม
                พระสาวกทั้งหลายจึงแยกย้ายกันออกเผยแผ่พระธรรม  รวมทั้งพระองค์เองก็ทรงออกเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นระยะเวลานานถึง  45  ปี  ทรงบุก
บั่นไปในแคว้นต่างๆ  มากมาย  เพื่อแสดงธรรมอำนวยประโยชน์แก่ผู้อื่น  โดยไม่ประสงค์ผลตอบแทนใดๆ  ทรงพระกรุณาในการสั่งสอนเพื่อให้พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ต่อชาวโลกให้มากที่สุด  โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ
                3.  ทรงพระกรุณาสั่งสอนแม้ยากลำบาก   พระองค์ต้องผจญกับอุปสรรคและความยากลำบากมากมาย  ตลอดระยะเวลา  45  ปี  ที่พระองค์ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนา  หากแต่พระกรุณาของพระองค์ที่เต็มเปี่ยมอยู่ในพระทัย  ทำให้ผจญกับอุปสรรคนั้นได้  เพื่อประโยชน์ต่อชาวโลกโดยเฉพาะดังตัวอย่าง  เช่น  ได้เสด็จไปโปรด  ชุมพุกะ  กับนักบวชอยู่ในคณะอาชีวก  ซึ่งเป็นนักบวชชีเปลือย   ชัมพุกะนิยมปลงผมโดยการถอนด้วยเสี้ยนไม้ตาล  และชอบกินอาจมเป็นอาหาร  จนนับบวชด้วยกันจับได้  และรังเกียจขับไล่ออกจากสำนัก  จึงมาตั้งตนเป็นผู้วิเศษ  ยืนตีนเดียวอ้าปากกินลม  อยู่ในชะง่อนหินแห่งหนี่งนอกเมือง  ซึ่งเป็นที่ที่ชาวบ้านใช้เป็นที่ถ่ายทุกข์  พอตกกลางคืนก็แอบกินอาจมที่ชาวบ้านถ่ายเอาไว้  ชาวเมืองเลื่อมใสด้วยไม่รู้ในความลับ  จนความเป็นผู้วิเศษของชัมพุกะมาถึงพระพุทธเจ้าซึ่งเสด็จผ่านทางเมืองนั้น  วันหนึ่งตอนใกล้รุ่ง  พระองค์ทรงแผ่ข่ายพระญาณพบภาพของขัมพุกะ  ในเย็นวันนั้นจึงเสด็จไปยังสถานที่ที่ชัมพุกะแสดงฤทธิ์ยืนขาเดียวอยู่  อ้อนวอนขอที่พักจากชัมพุกะ  ได้ที่พักอยู่ห่างออกไปหน่อย  ในคืนนั้นทรงแสดงปาฏิหาริย์ให้ชัมพุกะเกิดความตื่นเต้น  พอรุ่งเช้าก็ได้สนทนากัน  ตอนหนึ่งชัมพุกะพลั้งปากอวดตัว่ายืนขาเดียวเหนี่ยวกินลมมา 45 ปี  ยังไม่เคยเห็นสิ่งอัศจรรย์อย่างนี้มาก่อน  พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ชัมพุกะ  เธอหลอกลวงชาวโลกได้  แต่จะหลอกลวงเราไม่ได้”   แล้วพระองค์ก็แจงความลับของชัมพุกะ  ชัมพุกะยอมจำนน  ได้สำนึกและกล่าวขอขมา  พระองค์ก็ให้ผ้าแก้ชัมพุกะ  เพื่อพันกาย  แล้วทรงแสดงพระธรรมคำสั่งสอนจนชัมพุกะได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล  เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นพุทธกิจของพระองค์ที่ทรงมีความกรุณา  แม้ต้องไปค้างคืนในสถานที่อันน่ารังเกียจ  และต้องเสวนากับคนที่น่ารังเกียจเช่นนี้  เพราะพระทัยที่เปี่ยมไปด้วยความกรุณาต่อคนประหลาดเพียงคนเดียว  พระมหากรุณาคุณของพระองค์มีมากมายในการทรงทนกับความลำบาก  เพื่อให้ชาวโลกได้รู้พระธรรม  จนแม้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน  ยังประทานพระปัจฉิมวาจาไว้เป็นสมบัติคู่โลก  โดยเอาพระสรีระซึ่งกำลังจะแตกสลายของพระองค์เป็นอุปกรณ์การสอน  โดยตรัสว่า
                หันททานิ  ภิกขเว  อามันตยามิโว  วยธัมมา  สังขารา  อัปปมาเทส  สัมปาเทถะ   ดูกอ่นภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้เราผู้พระตถาคตเตือนท่านทั้งหลายให้รู้  สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมความฉิบหายไปเป็นธรรมดา  ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้สำเร็จด้วยไม่ประมาทเถิด    นับเป็นพระมหากรุณาคุณที่เปี่ยมล้น  แม้จะหลับพระเนตรปรินิพพานแล้ว   ยังทรงฝากคำสั่งสอนไว้เป็นประโยชน์อันไพศาลแก่ชาวโลก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น