วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พระภัททากัจจานาเถรี

2. พระภัททากัจจานาเถรี

     พระภัททากัจจานาเถรี เป็นพุทธสาวิกาที่เป็นแบบอย่างของความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดี ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้มีคุณธรรมพิเศษ จึงเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ประวัติของท่านจึงมีคุณค่าควรแก่การศึกษา และยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต
     พระภัททากัจจานาเถรีเป็นจ้าหญิงแห่งโกลิยวงศ์ พระนามเดิม คือ พิมพา (แปลว่า สวย) เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะ เจ้าผู้ครองกรุงเวทหะ กับพระนางอมิตตา กนิษฐภคินีของพระเจ้าสุทโธทนะ และเป็นพระกนิษฐาของเจ้าชายเทวทัต พระนางพิมพามีพระนามที่เรียกกันหลายชื่อ ได้แก่ ยโสธรา (แปลว่า สง่างามน่าเกรงขาม) ภัททา (แปลว่า เจริญตา) และกัจจานา (แปลว่า ทอง) แต่ส่วนมากเรียกกันว่า พระนางพิมพา หรือ ยโสธรา เมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษา ได้อภิเษกสมรสเป็นชายาของเจ้าชานสิทธัตถะ ทั้งสองพระองค์เสวยสุขในราชสมบัติจนพระชนมายุได้ 29 พรรษาเท่ากัน เพราะประสูติในวันเดียวกัน เจ้าหญิงทรงมีพระโอรสกับเจ้าสายสิทธัตถะพระองค์หนึ่ง คือ เจ้าชายราหุล
     ในวันหนึ่งที่พระนางประสูติพระโอรสนั่นเอง เจ้าชายสิทธัตถะก็ได้เสด็จออกผนวช ทำให้พระนางทรงเสียพระทัยเป็นอย่างมาก แต่ก็ทรงติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ตลอดเวลาด้วยความเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เมื่อทรงทราบข่าวว่าในระหว่างแสวงหาสัจธรรมเจ้าชายสิทธัตถะทรงปฏิบัติเช่นไรก็จะปฏิบัติตามเช่นนั้นทุกอย่าง เช่น ทรงทราบว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงลดอาหารก็ลดตาม ทรงทราบว่าเจ้าชายสิทธัตถะนุ่งห่มด้วยผ้าฝาดของเปลือกไม้ ก็ทรงนุ่งห่มอย่างนั้น เหตุการณ์เช่นนี้ได้ดำเนินไปตั้งแต่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชไปเรื่อย จนถึงวาระที่ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนางก็ทรงคอยสดับข่าวอยู่สมอว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์เมื่อไร
     เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะและพระประยูรญาติได้ถวายการต้อนรับ และจัดให้พระพุทธองค์พร้อมพระสงฆ์สาวกประทับที่นิโครธาราม ซึ่งเป็นอุทยานนอกเมือง วันรุ่งขึ้นพระพุทธองค์ได้เสด็จออกบิณฑบาตไปตามถนนในเมือง พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก พระเจ้าสุทโธทนะทรงสดับข่าวเช่นนี้ ทรงสลดพระทัยและทรงพิโรธ ซึ่งได้รีบเสด็จไปยังที่พระพุทธองค์เสด็จบิณฑบาตอยู่ พร้อมตรัสต่อว่าพระพุทธองค์ว่า ทรงปฏิบัติพระองค์ผิดธรรมเนียมกษัตริย์ ทำให้เลื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูล พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่พระเจ้าสุทโธทนะว่า การที่ทรงปฏิบัติเช่นนี้เป็นธรรมเนียมของวงศ์แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่ใช่วงศ์แห่งกษัตริย์หรือขัติยวงศ์แห่งใด จากนั้นพระองค์จึงได้ตรัสหลักธรรมบางประการทำให้พระเจ้าสุทโธทนะทรงเข้าพระทัย คลายความพิโรธหมดสิ้น และได้ดวงตาเห็นธรรมคือสำเร็จเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบัน

     พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ กรุงกบิลพัสตุ์ เป็นวันที่ 7 และได้เสด็จเข้าไปรับบิณฑบาตในพระราชวังตามคำอาราธนาของพระเจ้าสุทโธทนะ พระเจ้าสุทโะทนะและพระประยูรญาติ (ยกเว้นพระนางยโสธราและราหุล) ต่างก็ออกมาถวายการต้อนรับ และถวายอาหารบิณฑบาตอย่างประณีต หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว พระพุทธองค์ก็ได้ทรงแสดงธรรมแก่พระเจ้าสุทโธทนะและพระประยูรญาติ จนบุคคลเหล่านั้นเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งในหลักธรรม และพากันยอมรับธรรมนั้นไปประพฤติ ปฏิบัติ ในฐานะที่เป็นสาวกของพระองค์สืบไป
     ในวันต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอัครสาวก็ได้เสด็จไปโปรดพระนางยโสธราและราหุล ณ ที่ประทับตามคำขอร้องของพระเจ้าสุทโธทนะ เนื่องจากพระนางทรงเศร้าโศกเสียพระทัยมาก ไม่อาจมาเฝ้าฟังธรรมเช่นคนอื่น ๆ ได้ เมื่อพระนางได้เฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงผวาเข้ากราบพระบาทของพระพุทธเจ้าและสยายพระเกศาลงที่พระบาทพร้อมกับพระหัตถ์ทั้งสองกอดพระบาทพระพุทธองค์ไว้แน่นและทรงกรรแสงอย่างน่าสงสาร พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเล่าถึงคุณงามความดีของพระนางในอดีต ตรัสชื่นชมพระนางว่าเป็นผู้ที่มีคุณอันยิ่งใหญ่ทรงช่วยเหลือพระองค์เสมอมา และเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของพระองค์ จากนั้นก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาปลอบพระนาง พระนางยโสธราได้ตรัยพระธรรมเทศนาแล้ว ทรงควายความเศร้าโศกเสียพระทัย มีแต่ความชื่นชมโสมนัสและได้บรรลุมรรคผลเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบันในที่สุด ส่วนพระราชโอรสราหุล ผู้ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 7 พรรษาเท่านั้น ในวันต่อมาพระพุทธองค์ได้ทรงโปรดให้ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา
เมื่อเวลาล่วงเลยมา พระนางยโสธราได้ทรงปรารภถึงการออกผนวชบ้าง เพราะเหตุผลว่า เจ้าชายสิตถะผู้เป็นพระสวามีก็ได้ออกผนวช จนได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ราหุลกุมารพระโอรสก็บวชเป็นสามเณร พระญาติทั้งฝ่ายศากยวงศ์และฝ่ายโกลิยวงศ์ ก็เสด็จออกบวชตามพระพุทธองค์กันจนเกือบหมด รวมทั้งพระนางมหาปชาบดีโคตมี ก็ได้เสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษุณีพร้อมกับเจ้าหญิงศากยะจำนวนมาก และขณะนี้พระเจ้าสุทโธทนะก็สิ้นพระชนม์แล้ว ในที่สุดพระนางจึงตัดสินพระทัยออกผนวชได้เข้าไปทูลลาพระเจ้ามหานามะ ซึ่งทรงครองราชสมบัติต่อจากพระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อได้รับอนุญาตแล้วพระนางก็ได้เสด็จไปยังกรุงสาวัตถีที่พระพุทธองค์ประทับอยู่พร้อมบริวาร ทูลขอผนวชเป็นพระภิกษุณี พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาต โดยให้เป็นไปตามขั้นตอนตามเงื่อนไขของการบวชเป็นพระภิกษุณี
     พระภิกษุณียโสธราเมื่อทรงผนวชแล้ว พระภิกษุณีทั้งหลายก็เรียกว่าท่านว่า พระภัททากัจจานาเถรี ท่านได้ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญความเพียรอยู่ประมาณ 1 เดือน ก็สำเร็จมรรคผลเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยคุณธรรมพิเศษ คือ อภิญญา 6 พระพุทธเจ้าจึงทรงยกย่องว่า พระภิกษุณีภัททากัจจานาเป็นเลิศกว่าพระภิกษุณีทั้งหลายในด้านชำนาญในอภิญญา 6 ประการ ได้แก่
          1. สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์เหนือสามัญชนได้ (อิทธิวิธิญาณ)
          2. สามารถฟังเสียงในที่ไกลและเสียงที่เป็นทิพย์ได้ (ทิพพโสตญาณ)
          3. สามารถหยั่งรู้จิตใจและทายใจคนอื่นได้ (เจโตปริยญาณ)
          4. สามารถระลึกอดีตชาติได้ (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ)
          5. สามารถมองเห็นได้ในที่ไกล ๆ หรือมีตาทิพย์ (ทิพพจักขุญาณ)
          6. สามารถทำลายกิเลสหรือเครื่องเศร้าหมองจิตใจทั้งหลายให้หมดสิ้นไปได้ (อาสวักขยญาณ)
     พระภัททากัจจานาเถรีเป็นกำลังสำคัญฝ่ายพระภิกษุณีในการเผยแผ่ประกาศศาสนา ด้วยเหตุ
ที่ท่านมีความสามารถพิเศษในด้านดังกล่าว งานเผยแผ่พระศาสนาของท่านจึงทำได้ในเวลารวดเร็ว
พระภัททากัจจานาเถรีมีพระชนมายุได้ 79 พรรษา จึงได้เข้าไปกราบทูลลาพระพุทธองค์เมื่อนิพพานก่อนที่ท่านจะนิพพานท่านได้นำเอาสอนของพระพุทธเจ้าที่แสดงแก่พระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อคราวเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์เป็นครั้งแรก มากล่าวทบทวนให้คนทั้งหลายที่มาประชุมกันได้ฟังว่า บุคคลผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ควรประพฤติธรรมให้สุจริตไม่ควรประพฤติธรรมให้เป็นทุจริต เพราะบุคคลผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
     กล่าวกันว่า ในวันที่พระภัททากัจจานาเถรีนิพพานได้มีพระภิกษุจำนวน 18,000 องค์ที่ร่วมปฏิบัติธรรมด้วยกันมา ก็นิพพานในวันนั้นด้วย
คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง
     พระภัททากัจจานาเถรีมีคุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตหลายประการ ดังนี้
          1. เป็นผู้มีความอดทนเป็นเลิศ คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากคำกราบทูลของพระเจ้าสุทโทนะต่อพระพุทธเจ้าในครั้งที่พระพุทธองค์เสด็จไปโปรดพระประยูรญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ว่า นับตั้งแต่พระพุทธองค์เสด็จออกผนวช แม้พระนางยโสธราจะทรงเสียพระทัยและมีความทุกข์เป็นอย่างมาก แต่ก็ทรงอดทนไว้และทรงติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้รู้ข่าวว่าพระพุทธองค์ทรงปฏิบัติอย่างก็ทรงทำตาม เช่น ทรงทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงนุ่งห่มด้วยผ้าย้อมฝาดของเปลือกไม้ พระนางก็ทรงนุ่งห่มเช่นนั้น เป็นต้น
          2. เป็นผู้มีความจงรักภักดีและซื่อสัตย์ คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากเมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชตลอดเวลา 6 – 7 ปี ที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จจากไปจนกระทั่งตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มีพระประยูรญาติผู้ปรารถนาดีทรงยินดีจะรับไปอุปถัมภ์เลี้ยงดู ก็ไม่ได้ทรงยินดีแม้แต่น้อย ได้ทรงเฝ้ารอคอยการเสด็จกลับมาของพระพุทธองค์เพื่อเข้าเฝ้าและฟังธรรม
          3. เป็นผู้มีเหตุผล คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากการที่พระพุทธเจ้าไปโปรดถึงที่ประทับของพระนางมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายในเข้าไปทูลว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมา พระนางยโสธราได้เสด็จออกมาเข้าเฝ้าด้วยพระอาการที่แทบทรงพระสติไว้ไปได้ แต่เมื่อพระพุทธองค์ตรัสปลอบ และทรงชี้ให้เห็นถึงพระคุณอันประเสริฐของพระนางที่มีต่อพระองค์ ทรงช่วยเหลือและเสียสละเพื่อพระองค์มามาก ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันได้สดับแล้วก็ทรงคลายความเสียสละพระทัยและคลายความโศกเศร้า กลับมีพระทัยและสติมั่นคงที่เป็นเช่นนี้เพราะพระนางเป็นคนมีเหตุผลนั่นเอง
          4. เป็นผู้มีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากการที่พระนางเสด็จออกผนวช แม้พระนางจะเสด็จออกผนวชเมื่อพระชนมายุประมาณ 40 พรรษา หลังพระประยูรญาติคนอื่น ๆ ก็ตาม แต่ด้วยพระทัยที่มุ่งมั่นและตั้งใจจริง ทรงบำเพ็ญธรรมอยู่ประมาณ 1 เดือน ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ และทรงคุณธรรมเป็นพิเศษอีก 6 ประการที่เรียกว่า อภิญญา 6 จนได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นเลิศกว่าพระภิกษุณีทั้งหลายในด้านชำนาญในอภิญญา 6

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น