วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พุทธประวัติ ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิกา และชาวพุทธตัวอย่าง

พุทธประวัติ ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิกา และชาวพุทธตัวอย่าง

สาระสำคัญ
แม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปเป็นเวลากว่า 2,500 ปีแล้ว แต่พระคุณของพระองค์ที่มีต่อชาวโลกก็ยังคงปรากฏอยู่ ชาวพุทธจึงควรระลึกถึงและประพฤติปฏิบัติตามพระคุณของพระองค์0เพื่อให้เกิดผลดีแก่ตนและสังคมส่วนรวม พระมหากัจจายนะ พระภัทรากัจจานาเถรี และนางขุช  ชุตตรา มีประวัติ ผลงาน และคุณธรรมที่มีคุณค่าควรแก่การศึกษา ดังนั้นเราจึงควรศึกษาประวัติของท่านเหล่านี้ และนำคุณธรรมมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต

จุดประสงค์การเรียนรู้
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพุทธคุณ 9 ประวัติและคุณธรรมของพระมหากัจจายนะ พระภัททากัจจานาเถรี นางขุชชุตตรา รวมทั้งสามารถนำคุณธรรมของท่านเหล่านั้นมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตได้

 บทนำ


เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ความจริงด้วยพระองค์เองแล้ว พระองค์ก็ทรงนำความจริงที่ตรัสรู้นั้นมาประกาศเปิดเผยแก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า โดยมิได้เลือกชั้นวรรณะ สามารถทำให้คนทุกชนชั้นวรรณะไม่ว่าจะเป็นพราหมณ์ กษัตริย์ แพทย์ หรือศูทร สามารถรู้แจ้งเห็นจริงตามพระองค์ได้ ต่อมาบุคคลเหล่านี้ได้เป็นกำลังสำคัญในการประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนา จนพระพุทธศาสนาได้แผ่ขยายกว้างออกไปยังดินแดนต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้พระคุณความดีของพระพุทธเจ้าที่มีต่อชาวโลก หรือที่เรียกว่า พุทธคุณ ของเหล่าพุทธสาวกทั้งชายและหญิงจึงมีคุณค่าควรแก่การศึกษา และยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต

http://jakkrit-buddhism2.blogspot.com/2010/07/blog-post.html




พุทธประวัติเกี่ยวกับพุทธคุณ 3


   พุทธประวัติเกี่ยวกับพุทธคุณ 3   
                การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  ทำให้ทรางค้นพบสัจธรรมที่เกี่ยวกับความทุกข์  เหตุแห่งทุกข์  และวิธีดับทุกข์ได้อย่างแท้จริงด้วยพระองค์เอง  และทรงนำธรรมะนั้นสั่งสอนให้มวลมนุษย์  มีเมตตาธรรมและขันติธรรมต่อเพื่อมนุษย์ด้วยกัน  เพื่อให้เกิดสันติสุขในโลก  การที่ทรงแสดงธรรมแก่โลกแล้ว  ได้ชื่อว่าทรงสมบูรณ์ด้วยพระคุณ  3  ประการ  คือ  พระวิสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ  พระมหากรุณาคุณ  รวมเรียกว่า พระพุทธคุณ 3  ซึ่งหมายถึง  พระคุณของพระพุทธเจ้าที่มีต่อมวลบมนุษย์ในโลก  ซึ่งมีอเนิอนันต์  ปรากฏตามบทสวดพระพุทธคุณรวบรวมไว้เป็น 9 ประการ  เรียกว่า พระพุทธคุณ 9”  ซึ่งเรียงตามลำดับ ดังนี้
                1.  อรหํ                              หมายถึง  เป็นผู้หมดจดจากกิเลศ  จัดเป็นพระวิสุทธิคุณ
                2.  สมฺมาสม์พุทฺโธ           หมายถึง  เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ  จัดเป็ฯพระปัญญาคุณ
                3.  วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน    หมายถึง  เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชา และจรณะ  จัดเป็นพระวิสุทธิคุณ
                4.  สุคโต                         หมายถึง  เป็นผู้เสด็จไปดี  จัดเป็นพระมหากกรุณาคุณ
                5.  โลกวิทู                        หมายถึง  เป็นผู้รู้จักโลก  จัดเป็นพระปัญญาคุณ
                6.  อตุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ หมายถึง  เป็นผู้ฝึกคนที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม  จัดเป็นพระมหากรุณาคุณ
                7.  สตฺถา เทวมนุสฺสานํ     หมายถึง  เป็นศาสนดาของเทวดาและมนุษย์  จัดเป็นพระมหากรุณาคุณ
                8.  พุทฺโธ                          หมายถึง  เป็นผู้ตื่นแล้ว  จัดเป็นพระปัญญาคุณ
                9.  ภควา                          หมายถึง  เป็นผู้มีโชค  หรือเป็นผู้กำจัดกิเลสและบาปธรรมทั้งปวง  จัดเป็นพระวิสุทธิคุณ
https://sites.google.com/site/socialstudiesm4/bth-thi1/1-2-phuthth-pra-wa

พระวิสุทธิคุณ


1. พระวิสุทธิคุณ
                พระวิสุทธิคุณ  หมายถึง  พระพุทธเจ้าทรงมีพระทัยบริสุทธิ์สะอาดปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง  คือ  ความ โลภ  ความโกรธ  และความหลง  จึงทรงเป็นผู้สิ้นกิเลสทั้งปวง ไม่ว่ากิเลสนั้นๆ  จะเรียกชื่ออย่างไร เช่น  เรียกว่า  อกุศล  อาสวะ  สังโยชน์  นิวรณ์  อนุสัย  จึงทรงเป็นผู้บริสุทธิ์  สะอาด  ไม่มีความลี้ลับใด  ทรงสมบูรณ์ด้วย วิชชา 8   คือ  วิปัสสนาญาณ ปัญญาพิจารณาเห็นรูปและนามแยกเป็นส่วนๆ  ต่างอาศัยกันและกัน       มโนมอิทธิ  ฤทธิ์ทางใจ
     อิทธิวิธี  แสดงฤทธิ์ได้    ทิพพโสต   หูทิพย์      เจโตปริยญาณ  รู้จักกำหนดใจผู้อื่น     ปุพเพนิวาสานุสสติ  ระลึกชาติได้      ทิพะจักขุ  ตาทิพย์     
อาสวักขยญาณ         ญาณอันทำอาสวะให้สิ้นไป      และ จรณะ 15 คือ  สีลสัมปทา  ถึงพร้อมด้วยศีล  อินทรีย์สังวร   สำรวมอินทรีย์      โภชเนมัตตัญญุตา
 รู้ด้วยพอดีในอาหาร     ชาคริยานุโยค  ประกอบความเพียรของผู้อื่นอยู่     สัทธา  ความเชื่อ    หิริ  ความละอายใจ     โอตตัปปะ ความเกรงกลัวบาป  
พาหุสัจจะ  ความเป็นผู้ได้ฟังมาก     วิริยะ ความเพียร     สติ ความระลึกได้     ปัญญา   ความรอบรู้    ปฐมฌาน  ฌานที่หนึ่ง      ทุติยฌาน  ฌานที่สอง
ตติยฌาณ  ฌานที่สาม     จตุตถฌาณ ฌานที่สี่   นอกจากนั้น ยังทรงเป็นผู้กำจัดกิเลส และบาปธรรมทั้งปวงทรงเป็นผู้จำแนกธรรม
                พระวิสุทธิคุณของพระพุทธเจ้านั้น  สามารถรู้ได้  เห็นได้  โดยตลอดระยะเวลา  80  ปี   ปรากฏในพุทธประวัติ  ดังนี้
                1.  ทรงบริสุทธิ์ในพระราชกำเนิด    พระพุทธเจ้าทรงมีชาติกำเนิดที่ชัดเจนแน่นอน  ซึ่งมีพุทธประวัติว่าทรงเป็นโอรสกษัตริย์  มีตัวตนจริง  แม้เรื่องราวเช่นนี้จะล่วงเลยมานานกว่า 2,600 ปี  ก็มีพยายหลักฐานทางโบราณคดียืนยันอยู่  เช่น  สังเวชนียสถาน  ในประเทศอินเดียและเนปาล  เป็นต้น
                2.  ทรงบริสุทธิ์ในพระหฤทัย   พระพุทธเจ้าพระกมมลสะอาดหมดจดอย่างวิเศษ  ทรงตักรากกิเลสได้หมดสิ้น  พระองค์ทรงแยกจิตกับกิเลสให้ขาดจากกัน  จนจิตหลุดพ้นจากอำนาจกิเลส  ทรงเรียกสภาพเช่นนี้ว่า  วิมุตติ   ตามประพุทธประวัตินั้น   กว่าที่จะทรงได้วิธีการละกิเลส  จนถึงขั้นวิมุตติต้องทรงใช้เวลาถึง  6  ปี  และทรงทดลองใช้วิธีต่างๆ  มามากมาย ตั้งแต่ทรมานพระวรกายด้วยวิธีต่างๆ  เช่น  อดอาหาร  กลั้นหายใจ  เป็นตน   แต่ไม่เป็นผล  จนถึงวันเพ็ญเดือน 6  ก่อนพุทธศักราช 45 ปี  จึงทรงได้พบทางตัดกิเลส  เรียกว่า  พระโพธิญาณ  แปลว่า ปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้  เมื่อทรงละกิเลสได้ จิตใจก็สะอาด  ผ่องใส  ซึ่งเรียกว่า วิสุทธิ
                3.  ทรงบริสุทธิ์ในการบำเพ็ญพุทธกิจ    พระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้ได้แล้ว  พระองค์ทรงตรากตรำพระวรกายเพื่อบำเพ็ญพุทธกิจในการสั่งสอนพุทธบริษัทเป็นเวลาถึง 45 ปี  การบำเพ็ญพุทธิกิจของพระองค์ก็ได้กำหนดเป็นตารางประจำวันไว้แน่นอน  เช่น  ตอนเช้าเสด็จออกบิณฑบาต  ตอนเย็นทรงแสดงธรรมแก่คนทั่วไป  ตอนค่ำทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุ  ตอนดึกทรงโต้ตอบปัญหากับเทวดา  ตอนใกล้รุ่งทรงใช้พระญาณตรวจอุปนิสัยของสัตว์โลก  เพื่อหาผู้ที่ควรจะแสดงธรรมโดยเฉพาะในวันนั้น เป็นต้น  นอกจากนี้ยังใช้เวลาที่เหลือในการเสด็จไปโปรดเป็นรายบุคคลอยู่เสมอ  ซึ่งทรงเล็งเห็นจากการใช้พระญาณในตอนใกล้รุ่ง  จะเห็นว่าตลอดเวลา 1 วัน  ทรงปฏิบัติพุทธกิจเพื่อผู้อื่น  โดยไม่มีค่าจ้างหรือสิ่งตอบแทนใดๆ  ทั้งสิ้น พระองค์ทรงรบกวนชาวบ้านด้วยพระกระยาหารวันละมื้อเพียงเพื่อให้พระสรีระดำรงอยู่ตามธรรมชาติเท่านั้น
                4.  ทรงบริสุทธิ์ในการเสด็จดับขันธปรินิพพาน   เมื่อถึงเวลาที่ต้องสิ้นสุดไปโดยธรรมชาติ  พระองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน  เป็นไปอย่างเงียบสงบที่สุด  ขณะที่จะปรินิพพาน ไม่มีภาพชวนให้หวาดเสียว สยดสยองแม้แต่น้อย  ไม่มีถ้อยคำถากถางเย้ยหยัน  ไม่มีแม้แต่เสียงร้องอันแสดงถึงความสะทกสะท้านหวั่นกลัว  แม้แต่แมกไม้ที่ไร้วิญญาณก็รีบผลิดดอกออกถวายเป็นสักการะ  สรวงสวรรค์น้อมถวายด้วยกลิ่นหอมและเสียงประโคมขับอย่างน่าอัศจรรย์  และหลังจากปรินิพพานแล้ว  ก็มิได้ทิ้งปัญหาใดๆ  ไว้ให้สาวกรุ่นหลังต้องเคียดแค้นชิงชังฆ่ากันไม่รู้จบ
https://sites.google.com/site/socialstudiesm4/bth-thi1/1-2-phuthth-pra-wa

พระปัญญาคุณ


2.  พระปัญญาคุณ
                พระปัญญาคุณ   หมายถึง   ปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้พระธรรมด้วยพระองค์เอง  ทรงเป็นผู้รู้ทั้งโลกและธรรม  ดังพระนามที่ได้รับ  เช่น  สัมมาสัมพุทโธ  วิชชาจรณสัมปันโน  และโลกวิทู  เป็นต้น  พระพุทธองค์ทรงมีพระญาณ ที่เรียกว่า  ทศพลญาณ 10 ประการ คือ  ฐานาฐานญาณ  ปัญญาหยั่งรู้สิ่งที่เป็นไปได้  และสิ่งที่เป็นไปไม่ได้      กรรมวิปากญาณ ปัญญาหยั่งรู้ผลของกรรมไม่ว่าจะซับซ้อนเพียงใด    สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ  ปัญญาหยั่งรู้ทางไปสู่ภูมิทั้งปวง  ไม่ว่าทุคติภูมิ  สุคติภูมิ  หรือนิพพาน     นานาธาตุญาณ ปัญญาหยั่งรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตประกอบด้วยธาตุต่างๆ    นานาธิมุตติกญาณ  ปัญญาหยั่รู้อัธยาศัย  จริต  ความเชื่อถือ  ความสนใจของบุคคลทั้งหลายว่ามีต่างๆ กัน     อินทรียปโรปริยัตตญาณ ปัญญาหยั่งรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์หรือความสามารถจะรู้ธรรมของบุคคลทั้งหลาย  ฌานาฑิสังกิเลสาทิญาณ ปัญญาหยั่งรู้ความเศร้าหมอง หรือความก้าวหน้าของธรรมทั้งหลายมีฌาน เป็นต้น   ที่อาจเสื่อมหรือเจริยก้าวหน้าได้    ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ปัญญาหยั่งรู้ระลึกชาติหนหลังได้     จุตูปปาตญาณ  ปัญญาหยั่งรู้การตายและการเกิดของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรม      อาสวักขยญาณ  ปัญญาหยั่งรู้ความสิ้นไปแห่งกิเลส
                ในพระพุทธประวัติ  ได้แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงปัญญาคุณล้ำเลิศ  ดังนี้
                1.  ทรงปัญญาล้ำเลิศในการตรัสรู้   การที่พระองค์ทรงค้นพบสัจธรรมที่เกี่ยวกับความทุกข์เหตุ  เหตุแห่งทุกข์  และวิธีดับทุกข์ได้อย่างแท้จริงด้วยพระองค์เอง  และทำให้พระองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น  มิใช่เพราะอำนาจลึกลับ  หรือพระเจ้าบนสรวงสวรรค์แต่งตั้งให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า  แต่
เพราะพระองค์ทรงตรัสรู่ธรรมวิเศษด้วยปัญญาของพระองค์เอง  ปัญญานั้นเรียกว่า โพธิญาณ  แปลว่า  ปัญญาตรัสรู้  จากพระพุทธประวัติ  เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสละความสุขทางโลกออกบวชเพื่อแสวงหา  โมกขธรรม  คือ  ธรรมที่ทำให้หลุดพ้นจากกิเลสซึ่งพระองค์ทรงค้นหาด้วยวิธีการวิจัย คือ ตั้งสมมติฐานว่า  ถ้าทำเช่นนี้แล้วจะได้อะไร  แล้วทดลองด้วยการศึกษาวิธีการจากสำนักต่างๆ  จนกระทั่งถึงการกระทำทุกรกิริยาซึ่งยากที่ผู้ใดจะกระทำได้  เพื่อให้ได้คำตอบ  จนพระองค์ทรางพบว่าวิธีการต่างๆ  เหล่านั้นไม่ได้ทำให้พ้นจากทุกข์ได้จริง พระองค์ก็ทรงเริ่มค้นคว้าด้วยวิธีการของพระองค์เอง  โดยทรงใช้ปัญญาอันล้ำเลิศของพระองค์ในการค้นหาโมกขธรรมที่ทำให้ทรงหลุดพ้นจากกิเลส  จนตรัสรู้ได้สำเร็จ
                2.  ทรงปัญญาล้ำเลิศในพระธรรม   พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์  เป็นเครื่องยืนยันถึงพระปัญญาของพระองค์ได้อย่างดียิ่ง  พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้นมีมากมายครอบคลุมและมีการจำแนกไว้อย่างเหมาะสมแก่ผู้รับคำสอน  ได้แก่  โลกิยธรรม  คือ  ธรรมของชาวโลก  สำหรับสอนผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด  เช่น  การครองเรือน  การทำมาหากิน  การคบหาสมาคม  การปกครองบ้านเมือง  เป็นต้น  ซึ่งครอบคลุมความต้องการของชาวโลกได้ทั้งหมด  และ  โลกุตตรธรรม  คือ  ธรรมของผู้ปฏิบัติธรรม  สำหรับสอนผู้ที่มุ่งนิพพาน  ซึ่งมีขั้นตอนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ  ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงรู้ด้วยปัญญาของพระองค์ว่า  มนุษย์ทุกคนไม่เหมือนกันมีความแตกต่างกัน  พระธรรมที่จะสอนคนเหล่านั้นจึงแตกต่างกันตามระดับของปัญญาและความต้องการแต่ละคน  นอกจากนี้
พระธรรมของพระองค์ยังสามารถทดลองพิสูจน์ได้  เพราะเป็นเรื่องของเหตุและผลทันสมัยอยู่เสมอ  แม้กาลเวลาล่วงเลยมาถึง 2,600 ปี แล้วก็ตาม
จนกระทั้งเด็กยอมรับเอง เป็นต้นจนกระทั้งเด็กยอมรับเอง เป็นต้น
                3.  ทรงปัญญาล้ำเลิศในการสอน   วิธีการสั่งสอนของพระองค์ได้แสดงให้เห็นว่าทรงมีพระปัญญาล้ำเลิศจริง  ได้แก่  การเตรียมการสอน  ซึ่งเป็นหลักการอันสำคัญยิ่งในการสอนทั่วไป  เป็นหลักที่ทันสมัย  แม้ในปัจจุบันก็ยังถือว่าเป็นเรื่องสำคัญในการสอน  พระองค์จะทรงเตรียมการล่วงหน้าก่อนที่จะสอนบุคคลต่างๆ  ได้อย่างเหมาะสม  ตัวอย่างเช่น  เมื่อทรงสอนพระองคุลิมาล  พระองค์ต้องแสดงฤทธิ์ให้พระองคุลิมาลเกิดความอัศจรรย์ใจมีความสนใจเสียก่อน  แล้วจึงสอนด้วยิวธีที่แยบคาย  เป็นต้น  นอกจากนี้ในเรื่องการเตรียมผู้เรียนหรือผู้ฟังคำสอนให้พร้อมที่จะรับคำสอนด้วย อนุปพพิกถา  คือ  การสอนจากง่ายไปหายากเป็นขั้นๆ ไป  เมื่อผู้เรียนพร้อมดีแล้วจึงทรงสอนธรรมในขั้นสูงต่อไป  นอกจากนี้ พระองค์ยังใช้วิธีสอนที่เหมาะสมกับพื้นฐานของผู้รับคำสอนด้วย  ตัวอย่างเช่น  ทรงสอนเด็กที่กำลังซุกซนไล่ตีงู  โดยใช้คำถามถามเด็กไปเรื่อยๆ
 จนกระทั้งเด็กยอมรับเอง เป็นต้น
 https://sites.google.com/site/socialstudiesm4/bth-thi1/1-2-phuthth-pra-wa

 

พระมหากรุณาคุณ



3. พระมหากรุณาคุณ
                พระมหากรุณาคุณ  หมายถึง  พระคุณของพระพุทธเจ้าที่ทรงตั้งพระทัยจะเผยแผ่พระธรรมสั่งสอนสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ของพระองค์ที่มีต่อสัตว์โลก  โดยเสด็จไปแสดงธรรมโปรดสัตว์ตั้งแต่ตรัสรู้จนปรินิพพาน  ทรงฝึกอบรมสั่งสอนบุคลทุกเพศทุกวัยทุกชั้นวรรณะให้บรรลุมรรคผลแห่งความดับทุกข์  อย่างน้อยเป็นกัลยาณปุถุชน  คือ  บุคคลผู้มีคุณธรรมสูง ยกเว้นผู้ที่เป็น  ปทปรมะ  คือ  บุคคลผู้ด้อยปัญญาไม่สามารถเรียนรู้ได้  หรือที่เรียกว่า บัวใต้น้ำ  พระพุทธองค์ทรงเป็นศาสดาของมนุษย์  3  จำพวกคือ
1.               ผู้รู้ได้เร็วพลัน                                                                                                      
2.               ผู้ค่อยๆ รู้ไปตามลำดับ
3.               ผู้พอฝึกฝนอบรมได้
ทรงเป็นศาสดาของเทวดา  3  จำพวกคือ
1.               สมมติเทพ  แปลว่า  เทวดาโดยสมมติ หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน  พระราชินี  และพระบรมวงศานุวงศ์
2.               อุปปัติเทพ แปลว่า  เทวดาโดยกำเนิด  หมายถึง  เหล่าเทวดา  พระอินทร์  และพระพรหมทั้งหลาย
3.               วิสุทธิเทพ  แปลว่า  เทวดาโดยความบริสุทธิ์  หมายถึง  พระอรหันต์
พระมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้านั้นมีแสดงให้เห็นอยู่ในพุทธประวัติมากมายซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
1.  ทรงพระกรุณาสั่งสอนโลก   เมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสรุ้แล้วนั้น  ประโยชน์ส่วนพระองค์ก็เป็นอันจบสิ้น  ไม่มีธุระที่จะต้องทรงทำอีก
ต่อไป  ดังที่ได้ตรัสบอกแก่ปัญจวคีในวันที่แสดงปฐมเทศนาว่า กตัง  กรณียัง....  กิจธุระที่พึงทำ ได้ทรงทำเสร็จสิ้นแล้ว...”      “อยมันติมาชาติ  นัตถิทานิ  ปวุนัพภโว....  ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย  เรื่องเกิดใหม่สิ้นสุดกันที...”         พุทธพจน์ดังกล่าวแสดงถึงความจบสิ้นของประโยชน์ส่วนพระองค์  พระองค์ใช้เวลา
ตกลงพระทัยอยู่หลายวันว่า จะทรงนำเอาความจริงที่ตรัสรู้นั้นไปเที่ยวสั่งสอนต่อผู้อื่นหรือไม่  ถ้าพระองค์ตกลงพระทัยไม่สั่งสอนประโยชน์ส่วนพระองค์ก็ยังคงอยู่  คือดำรงชีพไปจนถึงอายุขัยก็ดับขันธปรินิพพานไป  ไม่ต้องทรงเหน็ดเหนื่อยตรากตรำ  แต่ประโยชน์ของชาวโลกจะเสียหายร้ายแรง คือ ผู้ที่จะได้รู้เห็นจริงแล้วพ้นทุกข์ตามพระองค์ไปจะไม่มีเลย  โลกจะไม่มีพระพุทธศาสนา  ไม่มีคำสั่งสอนอันประเสร็ฐแก่ชาวโลก  การคิดถึงประโยชน์ของผู้อื่น  โดยไม่สนใจกับความทุกข์ยากของพระองค์เอง  แสดงให้เห็นถึงความกรุณาอันยิ่งใหญ่ที่มีอยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์
                2.  ทรงพระกรุณาเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกล   พระองค์เริ่มแผยแผ่คำสั่งสอนด้วยการเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์  ต่อจากนั้นก็ทรงสั่งสอนเรื่อยมาจนมีพุทธสาวาจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ  พระองค์ทรงให้พุทธสาวกเหล่านั้นเป็นกำลังสำคัญในการสั่งสอนพระธรรมให้กว้างขวางยิ่งขึ้น  โดยมีพระดำรัสว่า                 ภิกษุทั้งหลาย  เราได้พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์  ทั้งที่เป็นของมนุษย์  แม้ท่านทั้งหลายก็เหมือนกัน  ท่านทั้งหลายจงเที่ยวไปในชนบท  เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนเป็นอันมาก  แต่อย่าไปรวมกัน  2  รูป  โดยทางเดียวกัน  จงแสดงธรรมมีคุณในเบื้องต้น  ท่ามกลาง  ที่สุดจงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถพยัญชนะ  อันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง  สัตว์ทั้งหลายที่มีกิเลศบังปัญญาดุจธุลีในจักษุน้อย เป็นปกติมีอยู่  เพราะโทษที่ไม่ได้ฟังธรรม  ย่อมเสื่อมจากคุณที่จะพึงได้พึงถึงผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักรมีอยู่  แม้เราก็จะไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อจะแสดงธรรม
                พระสาวกทั้งหลายจึงแยกย้ายกันออกเผยแผ่พระธรรม  รวมทั้งพระองค์เองก็ทรงออกเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นระยะเวลานานถึง  45  ปี  ทรงบุก
บั่นไปในแคว้นต่างๆ  มากมาย  เพื่อแสดงธรรมอำนวยประโยชน์แก่ผู้อื่น  โดยไม่ประสงค์ผลตอบแทนใดๆ  ทรงพระกรุณาในการสั่งสอนเพื่อให้พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ต่อชาวโลกให้มากที่สุด  โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ
                3.  ทรงพระกรุณาสั่งสอนแม้ยากลำบาก   พระองค์ต้องผจญกับอุปสรรคและความยากลำบากมากมาย  ตลอดระยะเวลา  45  ปี  ที่พระองค์ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนา  หากแต่พระกรุณาของพระองค์ที่เต็มเปี่ยมอยู่ในพระทัย  ทำให้ผจญกับอุปสรรคนั้นได้  เพื่อประโยชน์ต่อชาวโลกโดยเฉพาะดังตัวอย่าง  เช่น  ได้เสด็จไปโปรด  ชุมพุกะ  กับนักบวชอยู่ในคณะอาชีวก  ซึ่งเป็นนักบวชชีเปลือย   ชัมพุกะนิยมปลงผมโดยการถอนด้วยเสี้ยนไม้ตาล  และชอบกินอาจมเป็นอาหาร  จนนับบวชด้วยกันจับได้  และรังเกียจขับไล่ออกจากสำนัก  จึงมาตั้งตนเป็นผู้วิเศษ  ยืนตีนเดียวอ้าปากกินลม  อยู่ในชะง่อนหินแห่งหนี่งนอกเมือง  ซึ่งเป็นที่ที่ชาวบ้านใช้เป็นที่ถ่ายทุกข์  พอตกกลางคืนก็แอบกินอาจมที่ชาวบ้านถ่ายเอาไว้  ชาวเมืองเลื่อมใสด้วยไม่รู้ในความลับ  จนความเป็นผู้วิเศษของชัมพุกะมาถึงพระพุทธเจ้าซึ่งเสด็จผ่านทางเมืองนั้น  วันหนึ่งตอนใกล้รุ่ง  พระองค์ทรงแผ่ข่ายพระญาณพบภาพของขัมพุกะ  ในเย็นวันนั้นจึงเสด็จไปยังสถานที่ที่ชัมพุกะแสดงฤทธิ์ยืนขาเดียวอยู่  อ้อนวอนขอที่พักจากชัมพุกะ  ได้ที่พักอยู่ห่างออกไปหน่อย  ในคืนนั้นทรงแสดงปาฏิหาริย์ให้ชัมพุกะเกิดความตื่นเต้น  พอรุ่งเช้าก็ได้สนทนากัน  ตอนหนึ่งชัมพุกะพลั้งปากอวดตัว่ายืนขาเดียวเหนี่ยวกินลมมา 45 ปี  ยังไม่เคยเห็นสิ่งอัศจรรย์อย่างนี้มาก่อน  พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ชัมพุกะ  เธอหลอกลวงชาวโลกได้  แต่จะหลอกลวงเราไม่ได้”   แล้วพระองค์ก็แจงความลับของชัมพุกะ  ชัมพุกะยอมจำนน  ได้สำนึกและกล่าวขอขมา  พระองค์ก็ให้ผ้าแก้ชัมพุกะ  เพื่อพันกาย  แล้วทรงแสดงพระธรรมคำสั่งสอนจนชัมพุกะได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล  เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นพุทธกิจของพระองค์ที่ทรงมีความกรุณา  แม้ต้องไปค้างคืนในสถานที่อันน่ารังเกียจ  และต้องเสวนากับคนที่น่ารังเกียจเช่นนี้  เพราะพระทัยที่เปี่ยมไปด้วยความกรุณาต่อคนประหลาดเพียงคนเดียว  พระมหากรุณาคุณของพระองค์มีมากมายในการทรงทนกับความลำบาก  เพื่อให้ชาวโลกได้รู้พระธรรม  จนแม้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน  ยังประทานพระปัจฉิมวาจาไว้เป็นสมบัติคู่โลก  โดยเอาพระสรีระซึ่งกำลังจะแตกสลายของพระองค์เป็นอุปกรณ์การสอน  โดยตรัสว่า
                หันททานิ  ภิกขเว  อามันตยามิโว  วยธัมมา  สังขารา  อัปปมาเทส  สัมปาเทถะ   ดูกอ่นภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้เราผู้พระตถาคตเตือนท่านทั้งหลายให้รู้  สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมความฉิบหายไปเป็นธรรมดา  ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้สำเร็จด้วยไม่ประมาทเถิด    นับเป็นพระมหากรุณาคุณที่เปี่ยมล้น  แม้จะหลับพระเนตรปรินิพพานแล้ว   ยังทรงฝากคำสั่งสอนไว้เป็นประโยชน์อันไพศาลแก่ชาวโลก

ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิก

 ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิกา 

     ในสมัยพุทธกาลมีพุทธสาวก พุทธสาวิกา และชาวพุทธจำนวนมากที่มีบทบาทสำคัญใน๙านะเป็นกำลังช่วยเหลือพระพุทธเจ้าในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา สำหรับในชั้นนี้จะได้ศึกษาประวัติของท่านเหล่านี้ ได้แก่ พระมหากัจจายนะ พระภัททากัจจานาเถรี และนางขุชชุตตรา

1. พระมหากัจจายนะ
     พระมหากัจจายนะ เป็นพุทธสาวกที่มีความรุ้แตกฉาน ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นเลิศในการอธิบายหลักธรรมให้เข้าใจได้ง่าย และเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในแคว้นอวันดี
     พระมหากัจจายนะ เดิมชื่อ กัญจนะ หรือ กาญจนะ (แปลว่า ทอง) ท่านเกิดในสกุลพราหมณ์กัจจายนโคตร บิดาของท่านเป็นปุโรหิตอยู่ในราชสำนักของพระเจ้าจันณฑโชต แห่งกรุงอุชเชนี เมืองหลวงของแคว้นอวันดี เมื่อเจริญวัยได้เรียนจนจบไตรเพท ครั้นบิดาถึงแก่กรรม กาญจนะหรือกัญจนะได้รับแต่งตั้งให้เป็นปุโรหิตแทนบิดา จึงได้ชื่อว่า กัจจายนปุโรหิต ตามตระกูล เมื่อพระเจ้าจันฑปัชโชตทรงทราบว่า มีศาสดาองค์ใหม่ซึ่งประชาชนพากันเรียกว่า พระพุทธเจ้า เกิดขึ้นในแคว้นมคธของพระเจ้าพิมพิสาร กำลังเสด็จออกสั่งสอนประชาชน ธรรมที่พระงอค์ทรงสั่งสอนนั้นเป็นธรรมอันประเสริฐให้สำเร็จผลประโยชน์แก่ผูประพฤติปฏิบัติ จึงมีพระราชประสงค์จะนิมนต์พระพุทธเจ้ามาประกาศศาสนาที่กรุงอุชเชนี จึงทรงแต่งตั้งคณะทูตขึ้นคณะหนึ่งมีกัจจายนปุโรหิตเป็นหัวหน้าไปทูลเชิญเสด็จพระพุทธเจ้า ในการเดินทางไปครั้งนี้กัจจายนปุโรหิตได้กราบทูลขอลาบวชด้วย เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว กัจจายนปุโรหิตพร้อมด้วยคณะ 7 คน ไดเดินทางไปสู่ที่ประทับของพระพุทธเจ้าและได้เข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมให้ฟัง ในที่สุดคณะทูตทั้ง 8 ก็ได้บรรลุอรหัตตผลพร้อมกันทั้งหมด จากนั้นจึงได้กราบทูลขออุปสมบท พระพุทธเจ้าได้ทรงอนุญาติให้บวชเป็นพระภิกษุด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา
     ครั้นอุปสมบทแล้ว กระกัจจายนะจึงกราบทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าให้เสด็จไปยังกรุงอุชเชนี ตามพระราชหระสงค์ของพระเจ้าจัณฑปัชโชต พระพุทธเจ้าจึงตรัสสั่งให้พระกัจจายนะพร้อมด้วยพระภิกษุบริวารทั้ง 7 เดินทางไปแทนพระองค์ พระกัจจายนะพร้อมด้วยพระภิกษุบริวารจึงได้เดินทางกลับกรุงอุชเชนี เข้าเฝ้าพระเจ้าจัณฑปัชโชตและแสดงธรรมถวาย จนพระเจ้าจัณฑปัชโชตฟังแล้วเกิดความเลื่อมใส ประกาศพระองค์เป็นพุทธมามกะหรือพุทธศาสนิกชนในเวลาต่อมา
     พระกัจจายนะจำพรรษาอยู่ในกรุงอุชเชนีช่วงเวลาหนึ่งได้ประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ชาวเมือง ทำให้ชาวเมืองจำนวนมากเกิดความเลื่อมใสหันมานับถือพระพุทธศาสนา ต่อมาพระกัจจายนะได้เดินทางกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ซึ่งขณะนั้นพระองค์ประทับอยู่ ณ ตโปทาราม กรุงราชคฟห์ ขณะที่พักอยู่ร่วมพระอารามกับพระพุทธเจ้านั้น ได้มีพระสงฆ์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงแสดงไว้โดยย่อแล้วไม่เข้าใจ ได้มาขอให้พระกัจจายนะอธิบายให้ฟัง พระกัจจายนะจึงอธิบายขยายความของธรรมนั้นอย่างละเอียด จนพระสงฆ์กลุ่มดังกล่าวเข้าใจเป็นอย่างดี
     จากการที่พระกัจจายนะเป็นผู้ฉลาดในการอธิบายขยายความย่อของธรรมให้พิศดารและให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ได้ ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านอธิบายความย่อแห่งคำสอนของพระองค์ให้พิสดารอย่างถูกต้อง พระกัจจายนะเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระศาสนาเป็นอันมาก โดยเฉพาะในแคว้นอวันดี พระภิกษุทั้งหลายจึงเรียกท่านว่า พระมหากัจจายนะ
     สมัยหนึ่ง พระมหากัจจายนะได้เดินทางกลับมาจำพรรษา ณ กรุงอุชเชนี ขณะที่ท่านได้ไปพักอยู่ที่เชิงเขาชื่อปวัตตะ เมืองกุรุระฆระในแคว้นอวีนตีภาคใต้ มีอุบาสิกาชื่อ โสณะ กุฏิกัณณะ มาคอยอุปัฏฐากรับใช้ท่าน มีความประสงค์จะบวช แต่ไม่สามารถบวชได้เพราะไม่มีพระสงฆ์เพียงพอ เนื่องจากตอนนั้นพระพุทธเจ้าทรงกำหนดระเบียบการบวชไว้ว่า จะต้องมีพระภิกษุ 10 รูปขึ้นไป จึงจะครบองค์สงฆ์ทำพิธีบวชพระภิกษุได้ พระมหากัจจายนะจึงให้โสณะบวชเป็นสามเณรไปก่อน ทั้ง ๆ ที่อายุมากแล้ว ท่านรออยู่ถึง 3 ปี จึงได้พระสงฆ์ครบ 10 รูป เพียงพอที่จะบวชเป็นพระภิกษุได้
     เมื่อพระโสณะกุฏิกัณณะบวชแล้วปรารถนาจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เพราะท่านไม่เคยเห็นพระพุทธองค์จึงไปลาพระมหากัจจายนะ ซึ่งพระมหากัจจายนะก็อนุญาตด้วยดี และได้ฝากให้พระโสณะทูลขอผ่อนผันวินัย 5 ประการ ดังนี้
          ประการที่หนึ่ง ในแคว้นอวันตีตอนใต้ มีพระภิกษุน้อย ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดทรงอนุญาตการอุปสมบทด้วยพระสงฆ์น้อยว่า 10 รูป
          ประการที่สอง ในแคว้นอวันตีตอนใต้ พื้นที่ขรุขระไม่สม่ำเสมอ ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดทรงอนุญาตรองเท้าเป็นชั้น ๆ
          ประการที่สาม ในแคว้นอวันตีตอนใต้ ชาวบ้านอาบน้ำทุกวัน ขอได้โปรดทรงอนุญาตให้พระสงฆ์อาบน้ำได้เป็นนิตย์
          ประการที่สี่ ในแคว้นอวันตีตอนใต้ มีเครื่องลาด (นิสีทนะ) ที่ทำด้วยหนังสัตว์ เช่น หนังแพะ หนังแกะ เป็นต้น ขอได้โปรดทรงอนุญาตให้ภิกษุใช้เครื่องลาดดังกล่าว
          ประการที่ห้า ในแคว้นอวันตีตอนใต้ ชาวบ้านนิยมถวายจีวรแก่พระภิกษุผู้ที่ไม่ได้อยู่วัด โดยฝากพระภิกษุอื่นไว้ เมื่อพระรูปนั้นกลับมาไม่ยอมรับจีวร เพราะกลัวว่าจะผิดพุทธบัญญัติในกรณีเก็บจีวรไว้เกิน 10 วัน ขอได้โปรดตรัสบอกวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับจีวรว่าจะทำอย่างไร
     พระโสณะกุฏิกัณณะได้เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ ณ วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ได้กราบทูลขอพร 5 ประการดังกล่าว พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตตามที่ขอทุกประการ สำหรับประการที่หนึ่งทรงอนุญาตว่า ในท้องถิ่นทุรกันดาร หาพระสงฆ์ยาก ให้ใช้พระสงฆ์ 5 รูปก็บวชกุลบุตรให้เป็นพระภิกษุได้ สำหรับประการที่ห้าทรงอนุญาตว่า ให้พระภิกษุรับจีวรที่ทายกถวายลับหลังได้ จีวรยังไม่ถึงมือของพระภิกษุนั้นตราบใด ก็ยังไม่ถือว่าเธอมีสิทธิ์ครอบครองในจีวรนั้น การผ่อนผันทางวินัยเหล่านี้จึงเป็นระเบียบปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
     พระมหากัจจายนะเป็นผู้มีรูปงาม มีผิวขาวเหลืองดุจทองคำสมตามชื่อเดิมของท่านว่า กัญจนะ บุตรเศรษฐีผู้หนึ่งเห็นท่านเข้านึกคะนองในใจว่า ถ้าได้ภรรยารูปงามเหมือนอย่างท่านจักเป็นที่พอใจยิ่งนัก ด้วยอกุศลจิตเพียงเท่านั้น บุตรเศรษฐีก็เปลี่ยนจากเพศชายเป็นเพศหญิง ภายหลังได้ขอขมาท่านแล้วจึงกลับเป็นเพศชายดังเดิม พระมหากัจจายนะเกิดความสลดใจในเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อเห็นว่ามีคนหลงใหลความมีรูปของท่านแล้วเกิดโทษ ท่านจึงอธิษฐานให้รูปร่างอ้วน ศรีษะสั้น พุงพลุ้ย เพื่อไม่ให้มีใครหลงใหลท่านอีก ซึ่งในประเทศไทยรู้จักท่านในนาม พระสังกระจาย หรือ พระสังกัจจายน์
     พระมหากัจจายนะมีชีวิตมาถึงสมัยหลังพุทธปรินิพพาน ท่านได้ออกเผยแผ่พระศาสนาในแคว้นอวีนตีโดยได้แสดงธรรมให้พระเจ้ามธุราชอวันตีบุตร ซึ่งเป็นผู้สืบราชสมบัติต่อจากพระเจ้าจัณฑปัชโชต จนกษัตริย์พระองค์นี้เลื่อมใสประกาศพระองค์เป็นอุบาสก นับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ พระมหากัจจายนะดำรงอายุสังขารตามสมควรอก่กาลก็นิพพาน แต่สถานที่นิพพานไม่มีหลักฐานปรากฏ

คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง

     พระมหากัจจายนะมีคุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตหลายประการ ดังนี้
          1. เป็นคนรอบคอบ คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จาก ในสมัยเป็นปุโรหิตได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าจัณฑปัชโชตให้เป็นผู้ไปกราบทูลเชิญพระพุทธเจ้าเสด็จมายังกรุงอุเชนีเพื่อแสดงธรรมโปรด ก่อนออกเดินทางจากกรุงอุชเชนีไปยังกรุงราชคฤห์ ท่านได้กราบทูลลาพระเจ้าจัณฑปัชโชตขอบวชในพระพุทธศาสนาด้วย ทั้งนี้เนื่องจากท่านเห็นว่า ระยะทางระหว่างกรุงอุชเชนีกับกรุงราชคฤห์นั้นไกลมาก จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทั้งทีก็ควรทำให้เรียบร้อยทุกอย่าง
          2. เป็นผู้ยึดมั่นต่อคำสั่ง คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากเมื่อครั้งได้รับคำสั่งจากพระเจ้าจัณฑปัชโชตให้ไปกราบทูลเชิญพระเพุทธเจ้าให้เสด็จไปยังกรุงอุชเชนีให้ได้และท่านก็ทำได้สำเร็จ กล่าวคือ เมื่ออุปสมบทและบรรลุอรหัตผลแล้ว ท่านก็ได้กราบทูลเชิญพระพุทธเจ้าให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดพระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวเมืองอุชเชนี
          3. ตั้งใจทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากการที่ท่านได้รับมอบหมายให้ไปประกาศพระศาสนา ณ กรุงอุชเชนี แทนพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านก็ทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดีสามารถทำให้พระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวเมืองอุชเชนีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และยังเป็นผู้สามารถฮธิบายขยายความย่อของพระธรรมให้ละเอียดพิสดาร เข้าใจง่ายได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า
          4. เป็นผู้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากการที่ท่านรูจักปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา โดยทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงแก้ไขพุทธบัญญัติบางข้อเกี่ยวกับปัจจันตชนบท (ท้องถิ่นทุรกันดาร) เพราะตามพุทธบัญญัติเดิมพระภิกษุในปัจจันตชนบทซึ่งอยู่ในเขตถิ่นกันดารปฏิบัติตามได้ยาก ซึ่งเรื่องนี้พระพุทธเจ้าก็ทรงแก้ไขให้
          5. เป็นผู้มองเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากการที่ท่านยอมอธิษฐานจิตเปลี่ยนแปลงรูปที่สวยงาม มีผิวพรรณดั่งทอง ที่ใครเห็นแล้วก็ชอบและหลงใหล ให้กลายเป็นรูปร่างอัปลักษณ์น่าเกลียด ทั้งนี้เพราะท่านเห็นว่าการมีรูปงามบางครั้งอาจทำให้เกิดโทษแก่ผู้อื่น ดังตัวอย่างที่เกิดกับโสเรยยะ บุตรของเศรษฐีแห่งโสเรยนคร



http://jakkrit-buddhism2.blogspot.com/2010/07/blog-post.html

พระภัททากัจจานาเถรี

2. พระภัททากัจจานาเถรี

     พระภัททากัจจานาเถรี เป็นพุทธสาวิกาที่เป็นแบบอย่างของความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดี ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้มีคุณธรรมพิเศษ จึงเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ประวัติของท่านจึงมีคุณค่าควรแก่การศึกษา และยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต
     พระภัททากัจจานาเถรีเป็นจ้าหญิงแห่งโกลิยวงศ์ พระนามเดิม คือ พิมพา (แปลว่า สวย) เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะ เจ้าผู้ครองกรุงเวทหะ กับพระนางอมิตตา กนิษฐภคินีของพระเจ้าสุทโธทนะ และเป็นพระกนิษฐาของเจ้าชายเทวทัต พระนางพิมพามีพระนามที่เรียกกันหลายชื่อ ได้แก่ ยโสธรา (แปลว่า สง่างามน่าเกรงขาม) ภัททา (แปลว่า เจริญตา) และกัจจานา (แปลว่า ทอง) แต่ส่วนมากเรียกกันว่า พระนางพิมพา หรือ ยโสธรา เมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษา ได้อภิเษกสมรสเป็นชายาของเจ้าชานสิทธัตถะ ทั้งสองพระองค์เสวยสุขในราชสมบัติจนพระชนมายุได้ 29 พรรษาเท่ากัน เพราะประสูติในวันเดียวกัน เจ้าหญิงทรงมีพระโอรสกับเจ้าสายสิทธัตถะพระองค์หนึ่ง คือ เจ้าชายราหุล
     ในวันหนึ่งที่พระนางประสูติพระโอรสนั่นเอง เจ้าชายสิทธัตถะก็ได้เสด็จออกผนวช ทำให้พระนางทรงเสียพระทัยเป็นอย่างมาก แต่ก็ทรงติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ตลอดเวลาด้วยความเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เมื่อทรงทราบข่าวว่าในระหว่างแสวงหาสัจธรรมเจ้าชายสิทธัตถะทรงปฏิบัติเช่นไรก็จะปฏิบัติตามเช่นนั้นทุกอย่าง เช่น ทรงทราบว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงลดอาหารก็ลดตาม ทรงทราบว่าเจ้าชายสิทธัตถะนุ่งห่มด้วยผ้าฝาดของเปลือกไม้ ก็ทรงนุ่งห่มอย่างนั้น เหตุการณ์เช่นนี้ได้ดำเนินไปตั้งแต่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชไปเรื่อย จนถึงวาระที่ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนางก็ทรงคอยสดับข่าวอยู่สมอว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์เมื่อไร
     เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะและพระประยูรญาติได้ถวายการต้อนรับ และจัดให้พระพุทธองค์พร้อมพระสงฆ์สาวกประทับที่นิโครธาราม ซึ่งเป็นอุทยานนอกเมือง วันรุ่งขึ้นพระพุทธองค์ได้เสด็จออกบิณฑบาตไปตามถนนในเมือง พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก พระเจ้าสุทโธทนะทรงสดับข่าวเช่นนี้ ทรงสลดพระทัยและทรงพิโรธ ซึ่งได้รีบเสด็จไปยังที่พระพุทธองค์เสด็จบิณฑบาตอยู่ พร้อมตรัสต่อว่าพระพุทธองค์ว่า ทรงปฏิบัติพระองค์ผิดธรรมเนียมกษัตริย์ ทำให้เลื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูล พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่พระเจ้าสุทโธทนะว่า การที่ทรงปฏิบัติเช่นนี้เป็นธรรมเนียมของวงศ์แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่ใช่วงศ์แห่งกษัตริย์หรือขัติยวงศ์แห่งใด จากนั้นพระองค์จึงได้ตรัสหลักธรรมบางประการทำให้พระเจ้าสุทโธทนะทรงเข้าพระทัย คลายความพิโรธหมดสิ้น และได้ดวงตาเห็นธรรมคือสำเร็จเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบัน

     พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ กรุงกบิลพัสตุ์ เป็นวันที่ 7 และได้เสด็จเข้าไปรับบิณฑบาตในพระราชวังตามคำอาราธนาของพระเจ้าสุทโธทนะ พระเจ้าสุทโะทนะและพระประยูรญาติ (ยกเว้นพระนางยโสธราและราหุล) ต่างก็ออกมาถวายการต้อนรับ และถวายอาหารบิณฑบาตอย่างประณีต หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว พระพุทธองค์ก็ได้ทรงแสดงธรรมแก่พระเจ้าสุทโธทนะและพระประยูรญาติ จนบุคคลเหล่านั้นเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งในหลักธรรม และพากันยอมรับธรรมนั้นไปประพฤติ ปฏิบัติ ในฐานะที่เป็นสาวกของพระองค์สืบไป
     ในวันต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอัครสาวก็ได้เสด็จไปโปรดพระนางยโสธราและราหุล ณ ที่ประทับตามคำขอร้องของพระเจ้าสุทโธทนะ เนื่องจากพระนางทรงเศร้าโศกเสียพระทัยมาก ไม่อาจมาเฝ้าฟังธรรมเช่นคนอื่น ๆ ได้ เมื่อพระนางได้เฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงผวาเข้ากราบพระบาทของพระพุทธเจ้าและสยายพระเกศาลงที่พระบาทพร้อมกับพระหัตถ์ทั้งสองกอดพระบาทพระพุทธองค์ไว้แน่นและทรงกรรแสงอย่างน่าสงสาร พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเล่าถึงคุณงามความดีของพระนางในอดีต ตรัสชื่นชมพระนางว่าเป็นผู้ที่มีคุณอันยิ่งใหญ่ทรงช่วยเหลือพระองค์เสมอมา และเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของพระองค์ จากนั้นก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาปลอบพระนาง พระนางยโสธราได้ตรัยพระธรรมเทศนาแล้ว ทรงควายความเศร้าโศกเสียพระทัย มีแต่ความชื่นชมโสมนัสและได้บรรลุมรรคผลเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบันในที่สุด ส่วนพระราชโอรสราหุล ผู้ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 7 พรรษาเท่านั้น ในวันต่อมาพระพุทธองค์ได้ทรงโปรดให้ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา
เมื่อเวลาล่วงเลยมา พระนางยโสธราได้ทรงปรารภถึงการออกผนวชบ้าง เพราะเหตุผลว่า เจ้าชายสิตถะผู้เป็นพระสวามีก็ได้ออกผนวช จนได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ราหุลกุมารพระโอรสก็บวชเป็นสามเณร พระญาติทั้งฝ่ายศากยวงศ์และฝ่ายโกลิยวงศ์ ก็เสด็จออกบวชตามพระพุทธองค์กันจนเกือบหมด รวมทั้งพระนางมหาปชาบดีโคตมี ก็ได้เสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษุณีพร้อมกับเจ้าหญิงศากยะจำนวนมาก และขณะนี้พระเจ้าสุทโธทนะก็สิ้นพระชนม์แล้ว ในที่สุดพระนางจึงตัดสินพระทัยออกผนวชได้เข้าไปทูลลาพระเจ้ามหานามะ ซึ่งทรงครองราชสมบัติต่อจากพระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อได้รับอนุญาตแล้วพระนางก็ได้เสด็จไปยังกรุงสาวัตถีที่พระพุทธองค์ประทับอยู่พร้อมบริวาร ทูลขอผนวชเป็นพระภิกษุณี พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาต โดยให้เป็นไปตามขั้นตอนตามเงื่อนไขของการบวชเป็นพระภิกษุณี
     พระภิกษุณียโสธราเมื่อทรงผนวชแล้ว พระภิกษุณีทั้งหลายก็เรียกว่าท่านว่า พระภัททากัจจานาเถรี ท่านได้ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญความเพียรอยู่ประมาณ 1 เดือน ก็สำเร็จมรรคผลเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยคุณธรรมพิเศษ คือ อภิญญา 6 พระพุทธเจ้าจึงทรงยกย่องว่า พระภิกษุณีภัททากัจจานาเป็นเลิศกว่าพระภิกษุณีทั้งหลายในด้านชำนาญในอภิญญา 6 ประการ ได้แก่
          1. สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์เหนือสามัญชนได้ (อิทธิวิธิญาณ)
          2. สามารถฟังเสียงในที่ไกลและเสียงที่เป็นทิพย์ได้ (ทิพพโสตญาณ)
          3. สามารถหยั่งรู้จิตใจและทายใจคนอื่นได้ (เจโตปริยญาณ)
          4. สามารถระลึกอดีตชาติได้ (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ)
          5. สามารถมองเห็นได้ในที่ไกล ๆ หรือมีตาทิพย์ (ทิพพจักขุญาณ)
          6. สามารถทำลายกิเลสหรือเครื่องเศร้าหมองจิตใจทั้งหลายให้หมดสิ้นไปได้ (อาสวักขยญาณ)
     พระภัททากัจจานาเถรีเป็นกำลังสำคัญฝ่ายพระภิกษุณีในการเผยแผ่ประกาศศาสนา ด้วยเหตุ
ที่ท่านมีความสามารถพิเศษในด้านดังกล่าว งานเผยแผ่พระศาสนาของท่านจึงทำได้ในเวลารวดเร็ว
พระภัททากัจจานาเถรีมีพระชนมายุได้ 79 พรรษา จึงได้เข้าไปกราบทูลลาพระพุทธองค์เมื่อนิพพานก่อนที่ท่านจะนิพพานท่านได้นำเอาสอนของพระพุทธเจ้าที่แสดงแก่พระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อคราวเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์เป็นครั้งแรก มากล่าวทบทวนให้คนทั้งหลายที่มาประชุมกันได้ฟังว่า บุคคลผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ควรประพฤติธรรมให้สุจริตไม่ควรประพฤติธรรมให้เป็นทุจริต เพราะบุคคลผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
     กล่าวกันว่า ในวันที่พระภัททากัจจานาเถรีนิพพานได้มีพระภิกษุจำนวน 18,000 องค์ที่ร่วมปฏิบัติธรรมด้วยกันมา ก็นิพพานในวันนั้นด้วย
คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง
     พระภัททากัจจานาเถรีมีคุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตหลายประการ ดังนี้
          1. เป็นผู้มีความอดทนเป็นเลิศ คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากคำกราบทูลของพระเจ้าสุทโทนะต่อพระพุทธเจ้าในครั้งที่พระพุทธองค์เสด็จไปโปรดพระประยูรญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ว่า นับตั้งแต่พระพุทธองค์เสด็จออกผนวช แม้พระนางยโสธราจะทรงเสียพระทัยและมีความทุกข์เป็นอย่างมาก แต่ก็ทรงอดทนไว้และทรงติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้รู้ข่าวว่าพระพุทธองค์ทรงปฏิบัติอย่างก็ทรงทำตาม เช่น ทรงทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงนุ่งห่มด้วยผ้าย้อมฝาดของเปลือกไม้ พระนางก็ทรงนุ่งห่มเช่นนั้น เป็นต้น
          2. เป็นผู้มีความจงรักภักดีและซื่อสัตย์ คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากเมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชตลอดเวลา 6 – 7 ปี ที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จจากไปจนกระทั่งตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มีพระประยูรญาติผู้ปรารถนาดีทรงยินดีจะรับไปอุปถัมภ์เลี้ยงดู ก็ไม่ได้ทรงยินดีแม้แต่น้อย ได้ทรงเฝ้ารอคอยการเสด็จกลับมาของพระพุทธองค์เพื่อเข้าเฝ้าและฟังธรรม
          3. เป็นผู้มีเหตุผล คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากการที่พระพุทธเจ้าไปโปรดถึงที่ประทับของพระนางมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายในเข้าไปทูลว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมา พระนางยโสธราได้เสด็จออกมาเข้าเฝ้าด้วยพระอาการที่แทบทรงพระสติไว้ไปได้ แต่เมื่อพระพุทธองค์ตรัสปลอบ และทรงชี้ให้เห็นถึงพระคุณอันประเสริฐของพระนางที่มีต่อพระองค์ ทรงช่วยเหลือและเสียสละเพื่อพระองค์มามาก ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันได้สดับแล้วก็ทรงคลายความเสียสละพระทัยและคลายความโศกเศร้า กลับมีพระทัยและสติมั่นคงที่เป็นเช่นนี้เพราะพระนางเป็นคนมีเหตุผลนั่นเอง
          4. เป็นผู้มีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากการที่พระนางเสด็จออกผนวช แม้พระนางจะเสด็จออกผนวชเมื่อพระชนมายุประมาณ 40 พรรษา หลังพระประยูรญาติคนอื่น ๆ ก็ตาม แต่ด้วยพระทัยที่มุ่งมั่นและตั้งใจจริง ทรงบำเพ็ญธรรมอยู่ประมาณ 1 เดือน ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ และทรงคุณธรรมเป็นพิเศษอีก 6 ประการที่เรียกว่า อภิญญา 6 จนได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นเลิศกว่าพระภิกษุณีทั้งหลายในด้านชำนาญในอภิญญา 6

พระนางขุชชุตตรา

3. พระนางขุชชุตตรา
     นางขุชชุตตรา เป็นอุบาสิกาตัวอย่างที่ถึงแม้เป็นคนพิการหลังค่อม แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ต่อสู้จากประสบความสำเร็จ เป็นผู้ที่มีความรู้แตก จนได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลมสามารถแสดงธรรมให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย ประวัติของท่านจึงมีคุณค่าแก่การศึกษาและยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตตามประวัตินางขุชชุตตรา เป็นลูกสาวของแม่นมคนหนึ่งของโฆษกเศรษฐี ซึ่งเป็นบิดาเลี้ยงของพระนางสามาวดี ในกรุงโกสัมพี เดิมชื่อ อุลตรา แต่เพราะนางเกิดมาเป็นคนพิการหลังค่อม คนขึงพากันเรียกว่า ขุชชุตตรา

     ในสมัยเป็นสาว นางขุชชุตตราเป็นหญิงรับใช้ (ทาสี) คนหนึ่งของพระนางสามาวดี สมัยยังไม่ได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าอุเทน เมื่อพระนางสามาวดีได้เป็นพระมเหสีของเจ้าพระเจ้าอุเทน และเข้าไปอยู่ในพระราชวัง พระนางสามาวดีก็กราบทูลขอนำนางขุชชุตตราพร้อมกับหญิงรับใช้คนอื่น ๆ ไปอยู่ด้วย
นางขุชชุตตราเฝ้าปรนนิบัติรับใช้พระนางสามาวดีจนได้รับความไว้วางใจ ให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดซื้อดอกไม้ มาปักประดับตามสถานที่ต่าง ๆ ในปราสาท โดยเปลี่ยนดอกไม้ทุกวัน โดยได้รับเงินเฉพาะเป็นค่าดอกไม้วันละ 8 กหาปณะ ในกรุงโกสัมพีมีเศรษฐี 3 คนเป็นเพื่อนที่รักใคร่กันมาก คือ โฆษกเศรษฐี กุกกุฏเศรษฐี และปาวารเศรษฐี ครั้งหนึ่งเศรษฐีทั้งสามได้เดินทางไปทำการค้า ณ กรุงสาวัตถี แคว้นโกศล ได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าจนสำเร็จมรรคผลเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบัน หลังจากนั้นกราบทูลลาพระพุทธเจ้ากลับกรุงโกสัมพี ได้พร้อมใจกันสร้างวัดขึ้น 3 แห่ง คือ โฆษกเศรษฐีสร้างวัดโฆสิตาราม กุกกุฏเศรษฐีสร้างวัดกุกกุฏาราม และปาวารเศรษฐีสร้างวัดปาวาริการาม
     ครั้งหนึ่งเศรษฐีทั้ง 3 คน ได้ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จมาแสดงธรรมที่กรุงโกสัมพี เมื่อพระพุทธองค์ทรงรับคำอาราธนาและเสด็จมาถึง ได้ประทับอยู่ที่วัดทั้ง 3 แห่งนี้ โดยทรงหมุนเวียนไปประทับ ณ วัดทั้ง 3 แห่งตามคำทูลอาราธนาของเศรษฐีแต่ละคน เศรษฐีแต่ละคนก็ได้ทำบุญถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ณ วัดของตนเป็นเวลา 1 เดือนอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่ทำบุญ เศรษฐีทั้ง 3 คนได้สั่งซื้อดอกไม้เพื่อมาบูชาพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกทุกวัน โดยสั่งซื้อจากนายสุมนะพ่อค้าขายดอกไม้ และให้นำดอกไม้มาส่งที่บ้านทุกวัน เมื่อสุมนะนำดอกไม้มาส่งที่บ้านของเศรษฐี ได้เห็นพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกก็เกิดจิตศรัทธาเลื่อมใสอยากทำบุญบ้าง จึงได้เข้าไปขอโอกาสกับเศรษฐีทั้ง 3 คน เพื่อกราบทูลนิมนต์ให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปฉันภัตตาหารที่บ้านของตน ซึ่งเศรษฐีทั้ง 3 คนก็ตกลง
     เมื่อสุมนะพ่อค้าดอกไม้ได้มีโอกาสจากเศรษฐีทั้ง 3 แล้วก็มีการตระเตรียมงานทำบุญ โดยเตรียมภัตตาหารและเครื่องสักการะสำหรับถวายพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวก ขณะเดียวกันนางขุชชุตตราไปซื้อดอกไม้ แต่นายสุมนะไม่มีเวลาจะจัดให้และได้ขอให้นางอยู่ช่วยงานก่อน นางขุชชตราจึงตกลง
เมื่อพระพุทธองค์พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเสด็จมาถึงและทรงฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว พระองค์ก็ทรงแสดงอนุโมทนาในการทำบุญของสุมนะ นางขุชชุตตราซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้นด้วย ได้ฟังธรรมจบแล้วก็สำเร็จมรรคผลเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบัน
     เมื่อพระพุทธองค์เสด็จกลับไปประทับอยู่ที่วัดพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก นางสุมนะก้ได้จัดดอกไม้ให้นางขุชชุตตรา นางขุชชุตตราเมื่อได้ดอกไม้แล้วก็รีบกลับพระราชวังด้วยความอิ่มเอิบใจ ก่อนที่จะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า นางขุชชุตตราได้ยักยอกเงินค่าซื้อดอกไม้วันละ 4 กหาปณะ แต่เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว นางขุชชุตตราตั้งอยู่ในศีล 5 วันนั้นนางซื้อดอกไม้ด้วยเงินทั้งหมด 8 กหาปณะ พระนางสามาวดีทอดพระเนตรเห็นผิดสังเกตที่นางนางขุชชุตตราซื้อดอกไม้มากกว่าปกติจึงตรัสถามนางขุชชุตตราก็ได้สารภาพและเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ตนงดเว้นการทำชั่ว โดยวิธียักยอกเงินค่าซื้อดอกไม้
พระนางสามาวดีทรงฟังเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงโยกให้นางขุชชุตตรา และทรงใคร่ที่จะฟังธรรมนั้นเป็นอย่างยิ่ง จึงตรัสกับนางขุชชุตตราว่า ฉันยกโทษให้เธอ แต่ฉันอยากฟังธรรมที่เธอได้ฟังจากพระพุทธเจ้า ขอให้เธอแสดงธรรมนั้นให้พวกฉันได้ฟังด้วยเถิด นางขุชชุตตราจึงได้แสดงธรรมที่ตนฟังมาจากพระพุทธเจ้าให้พระนางสามาวดีและหญิงรับใช้ฝ่ายในทั้งหมดของพระนางสามาวดีฟัง จนพระนางสามาวดีพร้อมกับหญิงรับใช้ได้สำเร็จมรรคผลเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบันเช่นเดียวกับนางตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระนางสามาวดีและหญิงรับใช้ฝ่ายในพร้อมใจกันตั้งนางขุชชุตตราไว้ในตำแหน่งอาจารย์ คือ ให้ไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วกลับมาแสดงแก่พวกตน ทั้งนี้เพราะนางสามาวดีไม่อาจเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเองได้
     จากความสามารถในการแสดงธรรม จนทำให้พระนางสามาวดีและเหล่าหญิงรับใช้ฟังแล้วเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าจึงทรงประกาศยกย่องนางขุชชุตตราให้เป็นเลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลายในด้านเป็นนักแสดงธรรมให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย นางขุชชุตตราเป็นกำลังในการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ไม่นานนัก ต่อมานางได้ถึงแก่กรรมโดยถูกไฟคลอกตายทั้งเป็นไปในปราสาท พร้อมกับพระนางสามาวดีและหญิงรับใช้คนอื่นๆ เพราะกลอุบายเผาปราสาทของพระนางมาคันทิยา พระมเหสีอีกองค์หนึ่งของพระเจ้าอุเทน

คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง
     นางขุชชุตตรามีคุณธรรมเด่นชัดที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตหลายประการ ดังนี้
       1. เป็นผู้ที่สนใจใฝ่รู้ คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากคราวที่นายสุมนะพ่อค้าดอกไม้ทำบุญถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ได้ขอร้องให้ช่วยงานทำบุญ นางขุชชุตตราก็ยินดีช่วย และเมื่อเสร็จการถวายภัตตาหารแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมให้ฟัง นางก็ตั้งใจฟังอย่างสนใจ จนเข้าใจธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงอย่างแจ่มแจ้งที่เรียกว่า เกิดดวงตาเห็นธรรม ยังผลให้นางได้สำเร็จมรรคผลเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบัน ที่สามารถทำลายความเห็นว่าร่างกายเป็นตัวตน (สักกายทิฐิ) ความสงสัยในบาปบุญ (วิจิกิจฉา) และความเชื่อถืองมงาย (สีลัมพตปรามาศ) เสียได้ และเพราะความที่นางเป็นคนที่สนใจใฝ่รู้ในธรรมอย่างจริงจัง นางจึงสามารถยกฐานะของตนพ้นจากความเป็นหญิงรับใช้ซึ่งมีหน้าที่จัดซื้อดอกไม้ประจำตัวมาเป็นอาจารย์ผู้สอนธรรมแก่พระนางสามาวดีผู้เป็นนายและเหล่าหญิงรับใช้คนอื่น ๆ ได้

       2. เป็นผู้ที่รู้จักรับผิดชอบชั่วดี คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จาก คราวที่พระเจ้าอุเทนพระราชทานเงินเฉพาะเป็นค่าดอกไม้แก่พระนางสามาวดี วันละ 8 กหาปณะ พระนางสามาวดีได้มอบหมายให้นางขุชชุตตรามีหน้าที่ไปซื้อดอกไม้มาปักประดับสถานที่ ก่อนที่จะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า นางได้ยักยอกเงินค่าซื้อดอกไม้ไว้วันละ 4 กหาปณะ แต่เมื่อได้ฟังธรรมแล้วได้หยุดพฤติกรรมดังกล่าวเสีย ตั้งอยู่ในศีล 5 และสารภาพความผิดของตนต่อพระนางสามาวดีผู้เป็นนาย
       3. เป็นผู้มีสติปัญญาความรู้ความสามารถสูง คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากเมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่นายสุมนะพ่อค้าดอกไม้ นางขุชชุตตราก็อยู่ในที่นั้นด้วย ได้ฟังขนขบแล้วนางก็สำเร็จมรรคผลชั้นโสดาบัน จากนั้นก็นำธรรมที่ตนได้ฟังมาจากพระพุทธเจ้าถ่ายทอดให้พระนางสามาวดีและหญิงรับใช้ฝ่ายในทั้งหมดฟัง สามารถแจกแจงแสดงจนคนเหล่านั้นเข้าใจในธรรม และสำเร็จมรรคผลเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบันเช่นเดียวกับตน อีกทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็นอาจารย์ผู้สอนธรรมเป็นประจำ เรื่องดังกล่าวทราบไปถึงพระพุทธองค์ พระพุทธองค์จึงประกาศยกย่องว่า เป็นผู้มีความสามารถแสดงธรรมได้เป็นเลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลาย


http://jakkrit-buddhism2.blogspot.com/2010/07/blog-post.html

พระอานนท์


4. พระอานนท์ 

     พระอานนท์เป็นพระโอรสของพระเจ้าสุกโกทนะ กับพระนางกีสาโคตมี เมื่อลำดับญาติแล้วพระอานนท์เป็นพระอนุชาของพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์หลังจากตรัสรู้แล้วเพื่อโประพระพุทธบิดาและพระประยูรญาติทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระราชบิดาจนได้ดวงตาเห็นธรรม เมื่อประทับอยู่พอสมควรแก่เวลา ก็เสด็จไปยังเมืองไพสาลีพร้อมพระอรหันต์สาวก ขณะเสด็จถึงอนุปัยนิคม แคล้วนมัลละ เจ้าชายอานนท์พร้อมด้วยเจ้าชายในราชสกุลศากยะได้ตามเข้าเฝ้าและขอบวชจากรพะพุทธเจ้า พระอานนท์เมื่ออุปสมบทไม่นาน ท่านได้ฟังโอวาทากพระปุณณมันตานีบุตร ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบัน พระอานนท์จึงนับถือพระปุณณมันตานีบัตรเป็นอาจารย์เสมอมา นับจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้ามิได้มีพระอุปัฏฐากประจำ พระภิกษุต้องคอยผลัดเปลี่ยนมารับใช้ตามโอกาส บางครั้งไม่มีพระอุปัฏฐากก็ได้รับความลำบาก พระภิกษุสงฆ์จึงประชุมกันว่าน่าจะมีพระสาวกรูปใดรูปหนึ่งเป็นพระอุปัฏฐาก คือ คอยรับใช้พระพุทธองค์เป็นประจำ ในที่ประชุมมีพระเถระรูปใหญ่หลายท่าอาสาขอทำหน้าที่นี้ แต่พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธ ที่ประชุมจึงเลือกพระอานนท์ให้ทำหน้าที่นี้แทน ก่อนการเข้ารับหน้าที่เป็นพระอุปัฏฐาก พระอานนท์ได้ทรงทูลขอพร 8 ประการ ถ้าพระพุทธเจ้าประทานให้ก็จะรับหน้าที่พุทธอุปัฏฐาก พร 8 ประการนี้ คือ
          1) ขออย่าประทานจีวรอันประณีตแก่ข้าพระองค์
          2) ขออย่าประทานบิณฑบาตอันประณีตแก่ข้าพเจ้า
          3) ขอได้โปรดอย่าให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับของพระองค์
          4) ขอได้โปรดอย่าพาข้าพระองค์ไปในที่นิมนต์
          5) ขอพระองค์จงเสด็จไปสู่ที่นิมนต์ ที่ข้าพระองค์รับไว้
          6) ขอให้ข้าพระองค์พาบริษัทที่มาจากแดนไกลเข้าเฝ้าพระองค์ได้ในขณะที่มาถึงแล้ว
          7) ถ้าข้าพระองค์เกิดความสงสัยขึ้นเมื่อใด ขอให้ข้าพระองค์เข้าเฝ้าทูลถามความสงสัยได้เมื่อนั้น
          8) ถ้าพระองค์แสดงธรรมเทศนาเรื่องใดในที่ลับหลังข้าพระองค์ ขอได้โปรดตรัสพระธรรมเทศนาเรื่องนั้นแก่ข้าพระองค์อีกครั้ง
     พระพุทธเจ้าทรงประทานพร 8 ประการให้ตามที่พระอานนท์ปรารถนา ตั้งแต่นั้นมาพระอานนท์อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าด้วยความเอื้อเฟื้อ เอาใจใส่อย่างดี และมีความจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งแม้ชีวิตก็สละแทนได้ เช่น เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูถูกพระเทวทัตยุยง ได้ปล่อยช้างนาฬาคีรี เพื่อให้ทำร้ายพระพุทธเจ้า พระอานนท์ออกยืนขวางหน้าพญาช้างเสียมิให้มาทำอันตรายพระพุทธเจ้าได้ โยมิได้คำนึงถึงอันตรายที่จะมีแก่ตนเอง ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสยบช้างด้วยพุทธานุภาพ

     พระอานนท์มีอายุยืนยาวนานถึง 120 พรรษา จึงแจ้งแก่บรรดาศากยะและโกลิยะว่าท่านจะนิพพาน พระประยูรญาติทั้งสองฝั่งแม่น้ำโรหิณีต่างก็ต้องการให้ท่านนิพพานที่ดินแดนของตนจึงเกิดความขัดแย้งขึ้น พระอานนท์จึงอธิษฐานจิตเหาะเหนือแม่น้ำ และนิพพานโดยบันดาลให้ไฟลุกไหม้ร่างกายของท่ามกลางอากาศ เหลืออัฐิธาตุขาวตกลงทั้งสองฝั่งแม่น้ำ พระประยูรญาติแต่ละฝ่ายก็นำอัฐิไปไว้ในนครของตนเพื่อสักการบูชาสืบไป


http://jakkrit-buddhism2.blogspot.com/2010/07/blog-post.html

พระปฏาจาราเถรี


5. พระปฏาจาราเถรี
     พระปฏาจาราเถรี เป็นธิดาเศรษฐีในกรุงสาวัตถี เรียกกันว่า เศรษฐีธิดา เป็นที่รักใคร่ของบิดามารดามาก ครั้นเมื่อเจริญวัยได้ 16 ปี เริ่มเป็นสาว สวยงามมาก ท่าบิดาจึงจัดการป้องกันเข้มงวดให้อยู่แต่ในคฤหาสน์ชั้นบน ไม่ยอมให้พบปะผู้ชายภายนอกเรือนเลย ได้พูดจาปราศรัยกับผู้ชายเฉพาะบิดากับนายจุลน์คนรับใช้ของบิดาเท่านั้น ต่อมาเมื่อเกิดรักใคร่กับนายจุลน์โดยที่บิดาไม่รู้ความลับนี้ จากนั้นท่านเศรษฐีได้ตกลงจะส่งธิดาของตนไปให้แก่ตระกูลเศรษฐีที่มีฐานะเสมอกันที่มาสู่ขอ ทั้งสองจึงพากันหนีไปอยู่ในชนบทอื่น ภายหลังมีครรภ์จะกลับมาคอบดที่บ้านเดิม แต่มาคอลดระหว่างทางเสียก่อน สามีตามมาพบก็ชวนกันกลับ ต่อมานางก็ตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 อีก นางก็จะเดินทางกลับไปคลอดที่บ้านเดิมอีก แต่ก็กลับมาคลอดระหว่างทาง สามีตามมาพบขณะกำลังคอลดและกำลังมีฝนตกและพายุจัด นางจึงให้สามีสร้างเพิงสำหรับป้องกัน ขณะที่สามีกำลังถอนหญ้าคาที่ข้างจอมปลวกเพื่อมาสร้างเพิงนั้นก็เกิดถูกงงูพิษกัดตาย รุ่งเช้านางอุ้มลูกคนเล็กที่เพิ่งคอลดและจูงลูกคนโตเดินมาก็พบศพของสามี นางก็ร้องไห้โศกเศร้า ครั้นเมื่อนางเดินต่อมาถึงแม่น้ำ จึงอุ้มลุกคนเล็กที่เพิ่งคอลดไปวางฟากโน้นก่อน และจะกลับมารับลูกคนโตภายหลังขณะที่นางอยู่กลางแม่น้ำมีนกตัวใหญ่คาบเอาลุกคนเล็กของนางไป นางตบมือไล่นกตัวนั้นอย่างเสียงดัง ลูกคนโตก็เข้าใจว่ามารดาเรียกตน จึงวิ่งไปหาแล้วจมน้ำหายไป นางเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากจนกลายเป็นหญิงบ้า เดินร้องไห้รำพัน ผ้าผ่อนหลุดลุ่ยออกจากกกาย ฝูงชนเรียกนางว่า ปฏาจารา (หญิงเปลือยกาย)
     วันหนึ่งนางไปยืนอยู่ท้ายโรงธรรม พระพุทธเจ้าตรัสเรียกสติของนางว่า ปฏาจารา เธอจงกลับได้สติเถิด นางจึงได้สตินั่งลง พระองค์จึงแสดงธรรมเกี่ยวกับเหตุการณ์ของนางโดยสังเขป ในที่สุดนางก็ได้บรรลุโสดาบัน แล้วทูลขออุปสมบท พระพุทธเจ้าจึงส่งนางไปแห่งปัญจขันธุ์ แม้อยู่ร้อยปีก็ไม่ประเสริฐเท่าคนที่รู้เห็นอยู่วันเดียว เมื่อฟังธรรมก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ นอกจากนี้ พระปฏาจาราเถรีเป็นมหาสาวิกาชั้นเถรีผู้ใหญ่องค์หนึ่ง ที่มีความรู้ความสามารถทางด้านวินัย มีความประพฤติดีปฏิบัติชอบ จึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธ๔เจ้าว่า เป็นเอตทัคคะที่เป็นยอดแห่งพระเถรีผู้ทรงพระวินัยอีกด้วย

จูฬสุภัททา

6. จูฬสุภัททา
     นางจูฬสุภัททาเป็นธิดาของอนาถบิณฑิกเศรษฐี การที่นางได้ชื่อว่า จูฬสุภัททา (สุภัททาเล็ก) เพราะนางมีพี่สาวคนหนึ่งที่ชื่อมหาสุภัททา (สุภัททาใหญ่) เดิมท่านเศรษฐีแต่งตั้งให้นางมหาสุภัททาเป็นผู้จัดการเกี่ยวกับการเลี้ยงพระสงฆ์ซึ่งทำอยู่ประจำ จนนางมหาสุภัททาแต่งงาน มีครอบครัวไป ท่านเศรษฐีจึงตั้งนางจูฬสุภัททาให้ทำหน้าที่แทน นางปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเรียบร้อย และได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าบรรลุโสดาบันปัตติผลเป็นพระโสดาบัน
     อนาถบิณฑิกเศรษฐีมีเพื่อคนหนึ่งชื่อ อุคคะ เป็นเศรษฐีอยู่ในนครอุคคนคร ทั้งสองคนเคยศึกษาศิลปะในสำนักอาจารย์เดียวกันสมัยยังหนุ่ม และได้ทำกติกากันว่า เมื่อมีครอบครัวกันแล้ว ถ้าฝ่ายหนึ่งสู่ขอธิดาให้บุตรชายของตน และอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องให้ ครั้งหนึ่ง อุคคเศรษฐีไปค้าขายยังกรุงสาวัตถีด้วยเกวียนเป็นอันมาก และไปพักอยู่กับอนาถบัณฑิกเศรษษฐี อนาถบิณฑิกเศรษฐีมอบหน้าที่ต้อนรับทุกอย่างให้นางจูฬสุภัททา นางปฏิบัติหน้าที่อย่างดียิ่งทั้งในด้านจัดที่พัก จัดอาหาร จัดประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ ของหอม เป็นต้น อุคคเศรษฐีมีความพอใจมาก วันหนึ่งมีโอกาสเหมาะจึงเตือนอนาถบิณฑิกเศรษฐีถึงกติกาที่เคยทำกันไว้ กล่าวคือ สู่ขอนางจูฬสุภัททาให้บุตรชายของตน และอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ยอมรับอุคคเศรษฐีนั้นเป็นทิจฉาทิฏฐิ คือ นับถือศาสนาอื่นนอกจากพระพุทธศาสนา อนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงเรียกลูกสาวมาอบรมสั่งสอนด้วยหลักคำสอน 10 ประการ ตามที่นิยมกันในสมัยนั้น เพื่อให้เป็นภรรยาที่ดี ซึ่งหลักคำสอนทั้ง 10 ประการนี้ ธนญชัยเศรษฐีเคยใช้สั่งสอนนางวิสาขาบุตรสาวของตนมาแล้ว ดังนี้
          1) ไฟในอย่านำออก คือ อย่านำเรื่องไม่ดีภายในบ้านไปพูดให้คนนอกบ้านฟัง
          2) ไฟนอกอย่านำเข้า คือ อย่านำเรื่องไม่ดีภายนอกบ้านมาให้คนภายในบ้านฟัง
          3) ให้แก่คนที่ให้ คือ คนที่ยืมของแล้วนำมาคืน ต่อไปถ้ามายืมก็ควรให้ หมายถึง ให้เอื้อเฟื้อแก่คนที่รู้จักหน้าที่และรับผิดชอบ
          4) อย่าให้แก่คนที่ไม่ให้ คือ คนที่ยืมของไปแล้วไม่ยอมคืน หากมายืมอีกก็ไม่ควรให้ หมายถึง ไม่ควรเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนที่ไม่รู้จักหน้าที่และไม่รับผิดชอบ
          5) ให้แก่คนที่ให้และไม่ให้ คือ ญาติมิตร แม้จะขอยืมอขงไปแล้ว เอามาคืนหรือไม่ก็ตามก็ควรให้ยืมอีก
          6) นั่งให้เป็นสุข คือ อย่านั่งในที่ซึ่งเมื่อพ่อสามี แม่สามี หรือสามีเดินผ่านตนเองแล้วตนเองจะต้องลุกให้ หมายมิได้ให้ล่วงละเมิดสิทธิและหน้าที่ของพ่อสามี แม่สามี และสามี
          7) นอนให้เป็นสุข คือนอนภายหลังพ่อสามี แม่สามี และสามี
          8) กินให้เป็นสุข คือให้กินอาหารภายหลังจากพ่อสามี แม่สามี และสามีอิ่มแล้ว
          9) บูชาไฟ คือ ให้เคารพยำเกรงพ่อสามี แม่สามี และสามีดุจไฟ
        10) บูชาเทวดา คือ ให้ดูแลเอาใจใส่และนับถือพ่อสามี แม่สามี และสามีดุจเทวดา 
          นอกจากนี้อุคคเศรษฐียังได้แต่งตั้งบุคคลผู้มีหลักฐาน 8 คนเป็นผู้ดูแล หากนางจูฬสุภัททาถูกกล่าวหาด้วยประการใด ให้บุคคลเหล่านั้นเป็นผู้พิจารณาชำระข้อกล่าวหา แล่วอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ส่งนางจูฬสุภัททาไปสู่ตระกูลสามีด้วยเกียรติอันยิ่งใหญ่
     วันหนึ่ง อุคคเศรษฐีกระทำการมงคล เลี้ยงอาหารพวกชีเปลือยซึ่งเป็นนักบวชนอกพระพุทธศาสนา แล้วส่งข่าวไปบอกนางจูฬสุภัททาให้มาไหว้ชีเปลือย นางไม่สามารถดูชีเปลือยได้เพราะความละอาย จึงไม่มาไหว้ เศรษฐีโกรธมากสั่งให้คนไล่นางออกจากเรือน นางบอกว่าต้องให้บุคคลผู้มีหลักฐาน 8 คนเป็นผู้ตัดสินว่านางผิดหรือไม่ บุคคลเหล่านั้นได้รับเชิญมาพิจารณาแล้วตัดสินว่านางไม่ผิด เศรษฐีจึงบอกกับภรรยาของตนให้สอบถามนางจูฬสุภัททาว่า สมณะของนางเป็นอย่างไร 
     ภรรยาเศรษฐีถามว่า สมณะของเธอมีศีล มีข้อวัตรปฏิบัติอย่างไร เธอจึงสรรเสริญนัก
     นางจูฬสุภัททาประกาศพระคุณของพระพุทธเจ้า และพุทธสาวกด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้
- สมณะของดิฉันมีอินทรีย์อันสงบ จิตสงบ การยืน การเดินของท่านก็สงบ ท่านมีนัยน์ตาทอดลง พูดพอประมาณ
- กายกรรมของท่านสะอาด วจีกรรมไม่ขุ่นมัว มโนกรรมบริสุทธิ์ยิ่ง
- ท่านบริสุทธิ์ทั้งภายนอกและภายใน ปราศจากมลทิน เต็มเปี่ยมด้วยธรรมอันบริสุทธิ์
- ชาวโลกมีใจฟูขึ้น เพราะลาภ ยศ สรรเสริญ และมีแฟบลง เพราะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ แต่สมณะของดิฉันมีจิตใจเสมอเหมือนกันในโลกธรรมทั้งปวง ภรรยาเศรษฐีต้องการจะเห็นพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ จึงให้นางจูฬสุภัททานิมนต์มา เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไป ณ ที่นั้น ทั้งเศรษฐี ภรรยา และบริวารเกิดความเลื่อมใส ถวายทานมีกำหนด 7 วัน ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าจนบรรลุโสดาปัตติผล



http://jakkrit-buddhism2.blogspot.com/2010/07/blog-post.html

สุมนมาลาการ

7. สุมนมาลาการ
    
 นายสุมนมาลาการ เป็นผู้ทำหน้าที่นำดอกมะลิไปทูลบเกล้าทูลกระหม่อมพระเจ้าพิมพิสารเป็นประจำทุกเช้าตรู่ วันละ 8 ทะนาน และเขาจะได้รับพระราชทานเงิน 8 กหาปนะ (เป็นเงินไทยเท่ากับ 32 บาท) ต่อมาวันหนึ่ง ขณะที่นายสุมนมาลาการถือดอกไม้เดินเข้าไปในพระนครราชคฤห์ พระพุทธเจ้ามีพระภิกษุห้อมล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงเปล่งพระรัศมี (แสงสว่าง 6 ประการ) เสด็จเข้าไปยังในนครราชคฤห์ ครั้นนายสุมนมาลาการได้แลเห็นพระวรกายของพระพุทธเจ้า เห็นมาหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ และอนุพยัญชนะ 80 ประการอันสวยงามแล้ว เขามีจิตเลื่อมใสและคิดว่า “เราจะกระทำการบูชาอันยิ่งแด่พระบรมศาสดาอย่างไรดีหนอ” เมื่อเขามองไม่เห็นสิ่งอันจึงคิดว่า “เราจะบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดอกไม้เหล่านี้” และเขาคิดต่อไปอีกว่า “ดอกไม้เหล่านี้เป็นดอกไม้สำหรับถวายพระราชาประจำ คราวนี้เมื่อพระราชาไม่ทรงได้ดอกไม้เหล่านี้ จงตรัสสั่งให้จองจำเรา ให้ฆ่าเรา หรือให้เนรเทศ คือขับไล่เรออกจากแว่นแคว้น เราจะหระทำอย่างไรดี” แล้วเขาตัดสินใจว่า “พระราชาจะทรงฆ่าเรา หรือจะทรงเนรเทศ คือขับไล่เราออกจากแว่นแคว้นก็ตาม เพราะพระราชาถึงแม้พระราชทานทรัพย์แก่เรา ก็พระราชทานพอเลี้ยงชีพในอัตภาพนี้เท่านั้น ส่วนการบูชาพระบรมศาสดาอาจให้ประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่เราในหลายโกฏิกัปทีเดียว” พอเขาคิดตัดสินใจแน่แน่วแล้วดังนี้ จึงคิดสละชีวิตของตนถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า และเขาคิดว่า “เรามีจิตเลื่อมใสไม่กลับกลายตราบใด เราจะกระทำการบูชาตราบนั้น” แล้วเขามีความร่าเริงบันเทิงใจ มีใจเบิกบานและแช่มชื่น แล้วบูชาพระบรมศาสดาด้วยดอกไม้เหล่านั้น และถือกระเช้าเปล่ากลับไปที่บ้านของตน ครั้นเมื่อภรรยาของสุมนมาลาการถามว่า “ดอกไม้อยู่ที่นี่จ๊ะพี่” สุมนมาลาการตอบว่า “ดอกไม้ฉันบูชาพระบรมศาสดาหมดแล้ว” ฝ่ายภรรยาของสุมนมาลาการป็นหญิงอันธพาล ไม่เกิดเลื่อมใสฝนปาฏิหาริย์เช่นนั้น นางจึงด่าเขา หลังจากนั้นจึงพสพวกบุตรไปเข้าเฝ้าพระราชา ทูลเรื่องที่สามีของตนนำดอกไม้ไปถวายพระพุทธเจ้า และโทษที่อาจจะได้รับจากการกระทำเช่นนี้ อีกทั้งยังขอให้กรรมที่สามีได้กระทำจงเป็นของเขาเพียงผู้เดียว หลังจากนั้นพระเจ้า พิมพิสารให้ภรรยาของสุมนมาลาการนั้นกลับไป ส่วนพระองค์รีบเสด็จไปหาพระบรมศาสดาตามเสด็จจาริกไปสู่นครต่าง ๆ จนถึงพระราชวัง พระเจ้าพิมพิสารตรัสสั่งให้กระทำปะรำขึ้นหลังจากที่ พระบรมศาสดาไม่ยอมเสด็จเข้าไปในพระราชวัง แล้วพระบรมศาสดาก็ทรงประทับนั่งภายในปะรำที่สร้างขึ้นนั้นกับพระภิกษุสงฆ์ หตุที่พระบรมศาสนาไม่เข้าไปในพระราชวัง เพราะต้องการแสดงคุณความดีของสุมนมาลาการ เมื่อประทับที่พระลานหลวง มหาชนก็จะได้เห็นพระบรมศาสดา พร้อมกับคุณงามความดีนั้น พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ ทรงส่งเสด็จพระบรมศาสดาแล้วจึงเสด็จกลับ และรับสั่งให้หานายสุมนมาลาการ มาเฝ้าแล้วตรัสถามว่า “เจ้าคิดอย่างไร จึงบูชาพระบรมศาสดาด้วนดอกไม้ที่นำมาให้เรา” นายสุมนมาลาการกราบบังคมทูลว่า “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่า” “พระราชาจะทรงฆ่าเรา หรือจะทรงเนรเทศ คือขับไล่เราจากแว่นแคว้นก็ตาม” ดังนี้แล้ว จึงคิดสละชีวิตบูชาพระบรมศาสดา พระพุทธเจ้าเจ้าข้า” พระเจ้าพิมพิสารทรงตรัสยกย่องว่าเป็น มหาบุรุษแล้วพระราชทานสิ่งของอย่างละ 8 สิ่งให้สุมนมาลาการ
     ฝ่ายท่านพระอานนท์เถระคิดว่า “วันนี้ตั้งแต่เช้าตรู่มาแล้ว มหาชนได้เปล่งเสียง สีหนาทตั้งพัน มีการยกธงผ้าหลายพันคัน นายสุมนมาลาการจะได้รับผลอย่างไรหนอ” แล้วพระเถระจึงกราบทูลถามพระบรมศาสดา พระบรมศาสดาตรัสตอบกับพระเถระว่า “อานนท์ เธออย่ากำหนดว่านายสุมนมาลาการได้กระทำเพียงเล็กน้อย แต่เพราะเขาได้สละชีวิตกระทำการบูชาตถาคต เขาได้มีจิตเลื่อมใสในตถาคตอย่างนี้ เขาจะไม่ไปสู่ทุคติ (สถานที่สัตว์ตายไปเกิดมีความทุกข์ความลำบาก) ตลอดจนหนึ่งแสนกัป” เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้แล้วจึงตรัสต่อไปว่า “นายสุมนมาลาการจะดำรงอยู่แต่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่ไปสู่ทุคติตอลดหนึ่งแสนกัป นี่เป็นผลแห่งกรรมนั้น ภายหลังเขาจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่า “สุมนิสสระ” นับว่าเป็นพระอุยาสกที่น่ายกย่องในเรื่องความเสียสละคนหนึ่งในพระพุทธศาสนา






http://jakkrit-buddhism2.blogspot.com/2010/07/blog-post.html

ชาวพุทธตัวอย่าง

ชาวพุทธตัวอย่าง
1. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
      พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และพระนางเจ้ารำเพยภมราภิรมย์ ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 มีพระนามเดิมว่า “สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์” ทรงได้รับการศึกษาเป็นอย่างดีทั้งด้านอักษรศาสตร์ โบราณราชประเพณี วิชาการ สงคราม และกาปรกครอง ทั้งยังทรงใฝ่พระทัยศึกษาพระธรรมวินัย ทรงผนวชเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ. 2409 และเป็นพระภิกษุเมื่อ พ.ศ. 2416 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต เหล่าพระราชวงศืเสนาบดีและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้ประชุมกันและตกลงถวายพระราชสมบัติแก่รัชทายาทของพระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ แต่ในขณะนั้นทรงมีพระชนมมายุเพียง 15 พรรษา จึงให้สมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปก่อน จนทรงบรรลุนิติภาวะ แล้วจึงเถลิงราชสมบัติเสด็จขึ้นครองราชย์ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศง 2411 เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี นับเป็นพระมหากษัตริย์องค์แรกที่มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หลังจากที่ขึ้นครองราชย์ได้ 2 ปี ทรงได้เสด็จประพาสต่างประเทศเป็นครั้งแรก ทรงเลือกที่จะไปเยือนประเทศสิงค์โปร์และอินโดนีเซีย ต่อจากนั้นก็ได้เสด็จเยือนประเทศอินเดียและพม่า โดยพระองค์ทรงรับเอาการศึกษาและแบบแผนการปกครองของตะวันตกมาปรับปรุงพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระอัครมเหสีพระนามว่า “สมเด็จพระศรีพัชรินทรา พระบรมราชินีนาถ” ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมทั้งสิ้น 97 พระองค์ แต่ประสูติในพระอัครมเหสีมี 9 พระองค์คือ
          1. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพาหุรัตมณีภัย กรมพระเทพนารีรัตน์
          2. สมเด็จเจ้าฟ้าชายมหาวชิราวุธ (ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นรัชกาลที่ 6)
          3. สมเด็จเจ้าฟ้าชายตรีเพชรรุตม์ธำรง
          4. สมเด็จเจ้าฟ้าชายจักรพงศ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
          5. สมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกุธภัณฑ์
          6. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง (สิ้นพระชนม์ในวันที่ประสูติ)
          7. สมเด็จเจ้าฟ้าชายอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา
          8. สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย
          9. สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดช กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา (ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นรัชกาลที่ 7)
          พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้แก่ การยกเลิกระบบทาส โดยตราพระราชบัญญัติทาส รัตนโกสินทร์ 124 ขึ้น ทำให้ไทยไม่ต้องมีระบบทาสมาจนทุกวันนี้ ทรงเริ่มการไปรษณีย์เป็นครั้งแรก ตามมาด้วยโทรเลข และโทรศัพท์ รงยกเลิกประเพณีการเข้าเฝ้าแบบโบราณ มาเป็นการยืนถวายบังคมแบบตะวันตก ทรงยกเลิกการไต่สวนคดีความแบบจารีตนครบาลมาเป็นการไต่สวนคดีความแบบศาลในปัจจุบัน ทรงจัดการศึกษาแผนใหม่ โดยตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ด้านการปกครองได้ทรงปรับปรุงการปกครองให้ทันสมัย โดยแบ่งการบริหารราชการส่วนกลางออกเป็น 12 กระทรวง และส่วนท้องถิ่นเป็นมณฑล ด้านการศาสนา ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง สถาปนาพระอารามต่าง ๆ มากมาย เช่นวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดเบญจมบพิตร เป็นต้น ทรงโปรดเกล้าให้ชำระพระไตรปิฎก และพิมพืเป็นอักษรไทยเป็นครั้งแรก ทรงปรับปรุงคุณภาพการศึกษาของคณะสงฆ์ โดยสถาปนามาหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตั้งที่วัดมหาธาตุฯ เป็นที่ศึกษาเล่าเรียนของพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย และมหามกุฏราชวิทยาลัยตั้งที่วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นที่ศึกษาเล่าเรียนเล่าเรียนของพระสงฆ์ฝ่ายธรรมทูต อีกทั้งยังทรงออกพระราชบัญญัติลักษระปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 120 โดยแบ่งการปกครองคณะส.ฆ์ออกเป็น 4 คระ คือ คณะเหนือ คณะใต้ คณะกลาง และคณะธรรมยุตินิกาย ด้วยพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปวงชนชาวไทยจึงพร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญานามว่า “พรปิยมหาราช”
     พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประชวรเนื่องด้วยทรงพรระชราภาพมาก และทรงตรากตรำพระราชภารกิจมากมาย จึงเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 รวมพระชนมายุได้ 58 พรรษา รวมเวลาในสิริราชสมบัติได้ 42 ปีเศษ นับว่าเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ แต่พระนามของพระองค์ยังสถิตอยู่ในดวงใจทุกดวงของแวงชนชาวไทยตลอดกาลนาน



http://jakkrit-buddhism2.blogspot.com/2010/07/blog-post.html