วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พุทธประวัติ ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิกา และชาวพุทธตัวอย่าง

พุทธประวัติ ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิกา และชาวพุทธตัวอย่าง

สาระสำคัญ
แม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปเป็นเวลากว่า 2,500 ปีแล้ว แต่พระคุณของพระองค์ที่มีต่อชาวโลกก็ยังคงปรากฏอยู่ ชาวพุทธจึงควรระลึกถึงและประพฤติปฏิบัติตามพระคุณของพระองค์0เพื่อให้เกิดผลดีแก่ตนและสังคมส่วนรวม พระมหากัจจายนะ พระภัทรากัจจานาเถรี และนางขุช  ชุตตรา มีประวัติ ผลงาน และคุณธรรมที่มีคุณค่าควรแก่การศึกษา ดังนั้นเราจึงควรศึกษาประวัติของท่านเหล่านี้ และนำคุณธรรมมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต

จุดประสงค์การเรียนรู้
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพุทธคุณ 9 ประวัติและคุณธรรมของพระมหากัจจายนะ พระภัททากัจจานาเถรี นางขุชชุตตรา รวมทั้งสามารถนำคุณธรรมของท่านเหล่านั้นมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตได้

 บทนำ


เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ความจริงด้วยพระองค์เองแล้ว พระองค์ก็ทรงนำความจริงที่ตรัสรู้นั้นมาประกาศเปิดเผยแก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า โดยมิได้เลือกชั้นวรรณะ สามารถทำให้คนทุกชนชั้นวรรณะไม่ว่าจะเป็นพราหมณ์ กษัตริย์ แพทย์ หรือศูทร สามารถรู้แจ้งเห็นจริงตามพระองค์ได้ ต่อมาบุคคลเหล่านี้ได้เป็นกำลังสำคัญในการประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนา จนพระพุทธศาสนาได้แผ่ขยายกว้างออกไปยังดินแดนต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้พระคุณความดีของพระพุทธเจ้าที่มีต่อชาวโลก หรือที่เรียกว่า พุทธคุณ ของเหล่าพุทธสาวกทั้งชายและหญิงจึงมีคุณค่าควรแก่การศึกษา และยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต

http://jakkrit-buddhism2.blogspot.com/2010/07/blog-post.html




พุทธประวัติเกี่ยวกับพุทธคุณ 3


   พุทธประวัติเกี่ยวกับพุทธคุณ 3   
                การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  ทำให้ทรางค้นพบสัจธรรมที่เกี่ยวกับความทุกข์  เหตุแห่งทุกข์  และวิธีดับทุกข์ได้อย่างแท้จริงด้วยพระองค์เอง  และทรงนำธรรมะนั้นสั่งสอนให้มวลมนุษย์  มีเมตตาธรรมและขันติธรรมต่อเพื่อมนุษย์ด้วยกัน  เพื่อให้เกิดสันติสุขในโลก  การที่ทรงแสดงธรรมแก่โลกแล้ว  ได้ชื่อว่าทรงสมบูรณ์ด้วยพระคุณ  3  ประการ  คือ  พระวิสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ  พระมหากรุณาคุณ  รวมเรียกว่า พระพุทธคุณ 3  ซึ่งหมายถึง  พระคุณของพระพุทธเจ้าที่มีต่อมวลบมนุษย์ในโลก  ซึ่งมีอเนิอนันต์  ปรากฏตามบทสวดพระพุทธคุณรวบรวมไว้เป็น 9 ประการ  เรียกว่า พระพุทธคุณ 9”  ซึ่งเรียงตามลำดับ ดังนี้
                1.  อรหํ                              หมายถึง  เป็นผู้หมดจดจากกิเลศ  จัดเป็นพระวิสุทธิคุณ
                2.  สมฺมาสม์พุทฺโธ           หมายถึง  เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ  จัดเป็ฯพระปัญญาคุณ
                3.  วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน    หมายถึง  เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชา และจรณะ  จัดเป็นพระวิสุทธิคุณ
                4.  สุคโต                         หมายถึง  เป็นผู้เสด็จไปดี  จัดเป็นพระมหากกรุณาคุณ
                5.  โลกวิทู                        หมายถึง  เป็นผู้รู้จักโลก  จัดเป็นพระปัญญาคุณ
                6.  อตุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ หมายถึง  เป็นผู้ฝึกคนที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม  จัดเป็นพระมหากรุณาคุณ
                7.  สตฺถา เทวมนุสฺสานํ     หมายถึง  เป็นศาสนดาของเทวดาและมนุษย์  จัดเป็นพระมหากรุณาคุณ
                8.  พุทฺโธ                          หมายถึง  เป็นผู้ตื่นแล้ว  จัดเป็นพระปัญญาคุณ
                9.  ภควา                          หมายถึง  เป็นผู้มีโชค  หรือเป็นผู้กำจัดกิเลสและบาปธรรมทั้งปวง  จัดเป็นพระวิสุทธิคุณ
https://sites.google.com/site/socialstudiesm4/bth-thi1/1-2-phuthth-pra-wa

พระวิสุทธิคุณ


1. พระวิสุทธิคุณ
                พระวิสุทธิคุณ  หมายถึง  พระพุทธเจ้าทรงมีพระทัยบริสุทธิ์สะอาดปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง  คือ  ความ โลภ  ความโกรธ  และความหลง  จึงทรงเป็นผู้สิ้นกิเลสทั้งปวง ไม่ว่ากิเลสนั้นๆ  จะเรียกชื่ออย่างไร เช่น  เรียกว่า  อกุศล  อาสวะ  สังโยชน์  นิวรณ์  อนุสัย  จึงทรงเป็นผู้บริสุทธิ์  สะอาด  ไม่มีความลี้ลับใด  ทรงสมบูรณ์ด้วย วิชชา 8   คือ  วิปัสสนาญาณ ปัญญาพิจารณาเห็นรูปและนามแยกเป็นส่วนๆ  ต่างอาศัยกันและกัน       มโนมอิทธิ  ฤทธิ์ทางใจ
     อิทธิวิธี  แสดงฤทธิ์ได้    ทิพพโสต   หูทิพย์      เจโตปริยญาณ  รู้จักกำหนดใจผู้อื่น     ปุพเพนิวาสานุสสติ  ระลึกชาติได้      ทิพะจักขุ  ตาทิพย์     
อาสวักขยญาณ         ญาณอันทำอาสวะให้สิ้นไป      และ จรณะ 15 คือ  สีลสัมปทา  ถึงพร้อมด้วยศีล  อินทรีย์สังวร   สำรวมอินทรีย์      โภชเนมัตตัญญุตา
 รู้ด้วยพอดีในอาหาร     ชาคริยานุโยค  ประกอบความเพียรของผู้อื่นอยู่     สัทธา  ความเชื่อ    หิริ  ความละอายใจ     โอตตัปปะ ความเกรงกลัวบาป  
พาหุสัจจะ  ความเป็นผู้ได้ฟังมาก     วิริยะ ความเพียร     สติ ความระลึกได้     ปัญญา   ความรอบรู้    ปฐมฌาน  ฌานที่หนึ่ง      ทุติยฌาน  ฌานที่สอง
ตติยฌาณ  ฌานที่สาม     จตุตถฌาณ ฌานที่สี่   นอกจากนั้น ยังทรงเป็นผู้กำจัดกิเลส และบาปธรรมทั้งปวงทรงเป็นผู้จำแนกธรรม
                พระวิสุทธิคุณของพระพุทธเจ้านั้น  สามารถรู้ได้  เห็นได้  โดยตลอดระยะเวลา  80  ปี   ปรากฏในพุทธประวัติ  ดังนี้
                1.  ทรงบริสุทธิ์ในพระราชกำเนิด    พระพุทธเจ้าทรงมีชาติกำเนิดที่ชัดเจนแน่นอน  ซึ่งมีพุทธประวัติว่าทรงเป็นโอรสกษัตริย์  มีตัวตนจริง  แม้เรื่องราวเช่นนี้จะล่วงเลยมานานกว่า 2,600 ปี  ก็มีพยายหลักฐานทางโบราณคดียืนยันอยู่  เช่น  สังเวชนียสถาน  ในประเทศอินเดียและเนปาล  เป็นต้น
                2.  ทรงบริสุทธิ์ในพระหฤทัย   พระพุทธเจ้าพระกมมลสะอาดหมดจดอย่างวิเศษ  ทรงตักรากกิเลสได้หมดสิ้น  พระองค์ทรงแยกจิตกับกิเลสให้ขาดจากกัน  จนจิตหลุดพ้นจากอำนาจกิเลส  ทรงเรียกสภาพเช่นนี้ว่า  วิมุตติ   ตามประพุทธประวัตินั้น   กว่าที่จะทรงได้วิธีการละกิเลส  จนถึงขั้นวิมุตติต้องทรงใช้เวลาถึง  6  ปี  และทรงทดลองใช้วิธีต่างๆ  มามากมาย ตั้งแต่ทรมานพระวรกายด้วยวิธีต่างๆ  เช่น  อดอาหาร  กลั้นหายใจ  เป็นตน   แต่ไม่เป็นผล  จนถึงวันเพ็ญเดือน 6  ก่อนพุทธศักราช 45 ปี  จึงทรงได้พบทางตัดกิเลส  เรียกว่า  พระโพธิญาณ  แปลว่า ปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้  เมื่อทรงละกิเลสได้ จิตใจก็สะอาด  ผ่องใส  ซึ่งเรียกว่า วิสุทธิ
                3.  ทรงบริสุทธิ์ในการบำเพ็ญพุทธกิจ    พระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้ได้แล้ว  พระองค์ทรงตรากตรำพระวรกายเพื่อบำเพ็ญพุทธกิจในการสั่งสอนพุทธบริษัทเป็นเวลาถึง 45 ปี  การบำเพ็ญพุทธิกิจของพระองค์ก็ได้กำหนดเป็นตารางประจำวันไว้แน่นอน  เช่น  ตอนเช้าเสด็จออกบิณฑบาต  ตอนเย็นทรงแสดงธรรมแก่คนทั่วไป  ตอนค่ำทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุ  ตอนดึกทรงโต้ตอบปัญหากับเทวดา  ตอนใกล้รุ่งทรงใช้พระญาณตรวจอุปนิสัยของสัตว์โลก  เพื่อหาผู้ที่ควรจะแสดงธรรมโดยเฉพาะในวันนั้น เป็นต้น  นอกจากนี้ยังใช้เวลาที่เหลือในการเสด็จไปโปรดเป็นรายบุคคลอยู่เสมอ  ซึ่งทรงเล็งเห็นจากการใช้พระญาณในตอนใกล้รุ่ง  จะเห็นว่าตลอดเวลา 1 วัน  ทรงปฏิบัติพุทธกิจเพื่อผู้อื่น  โดยไม่มีค่าจ้างหรือสิ่งตอบแทนใดๆ  ทั้งสิ้น พระองค์ทรงรบกวนชาวบ้านด้วยพระกระยาหารวันละมื้อเพียงเพื่อให้พระสรีระดำรงอยู่ตามธรรมชาติเท่านั้น
                4.  ทรงบริสุทธิ์ในการเสด็จดับขันธปรินิพพาน   เมื่อถึงเวลาที่ต้องสิ้นสุดไปโดยธรรมชาติ  พระองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน  เป็นไปอย่างเงียบสงบที่สุด  ขณะที่จะปรินิพพาน ไม่มีภาพชวนให้หวาดเสียว สยดสยองแม้แต่น้อย  ไม่มีถ้อยคำถากถางเย้ยหยัน  ไม่มีแม้แต่เสียงร้องอันแสดงถึงความสะทกสะท้านหวั่นกลัว  แม้แต่แมกไม้ที่ไร้วิญญาณก็รีบผลิดดอกออกถวายเป็นสักการะ  สรวงสวรรค์น้อมถวายด้วยกลิ่นหอมและเสียงประโคมขับอย่างน่าอัศจรรย์  และหลังจากปรินิพพานแล้ว  ก็มิได้ทิ้งปัญหาใดๆ  ไว้ให้สาวกรุ่นหลังต้องเคียดแค้นชิงชังฆ่ากันไม่รู้จบ
https://sites.google.com/site/socialstudiesm4/bth-thi1/1-2-phuthth-pra-wa

พระปัญญาคุณ


2.  พระปัญญาคุณ
                พระปัญญาคุณ   หมายถึง   ปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้พระธรรมด้วยพระองค์เอง  ทรงเป็นผู้รู้ทั้งโลกและธรรม  ดังพระนามที่ได้รับ  เช่น  สัมมาสัมพุทโธ  วิชชาจรณสัมปันโน  และโลกวิทู  เป็นต้น  พระพุทธองค์ทรงมีพระญาณ ที่เรียกว่า  ทศพลญาณ 10 ประการ คือ  ฐานาฐานญาณ  ปัญญาหยั่งรู้สิ่งที่เป็นไปได้  และสิ่งที่เป็นไปไม่ได้      กรรมวิปากญาณ ปัญญาหยั่งรู้ผลของกรรมไม่ว่าจะซับซ้อนเพียงใด    สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ  ปัญญาหยั่งรู้ทางไปสู่ภูมิทั้งปวง  ไม่ว่าทุคติภูมิ  สุคติภูมิ  หรือนิพพาน     นานาธาตุญาณ ปัญญาหยั่งรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตประกอบด้วยธาตุต่างๆ    นานาธิมุตติกญาณ  ปัญญาหยั่รู้อัธยาศัย  จริต  ความเชื่อถือ  ความสนใจของบุคคลทั้งหลายว่ามีต่างๆ กัน     อินทรียปโรปริยัตตญาณ ปัญญาหยั่งรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์หรือความสามารถจะรู้ธรรมของบุคคลทั้งหลาย  ฌานาฑิสังกิเลสาทิญาณ ปัญญาหยั่งรู้ความเศร้าหมอง หรือความก้าวหน้าของธรรมทั้งหลายมีฌาน เป็นต้น   ที่อาจเสื่อมหรือเจริยก้าวหน้าได้    ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ปัญญาหยั่งรู้ระลึกชาติหนหลังได้     จุตูปปาตญาณ  ปัญญาหยั่งรู้การตายและการเกิดของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรม      อาสวักขยญาณ  ปัญญาหยั่งรู้ความสิ้นไปแห่งกิเลส
                ในพระพุทธประวัติ  ได้แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงปัญญาคุณล้ำเลิศ  ดังนี้
                1.  ทรงปัญญาล้ำเลิศในการตรัสรู้   การที่พระองค์ทรงค้นพบสัจธรรมที่เกี่ยวกับความทุกข์เหตุ  เหตุแห่งทุกข์  และวิธีดับทุกข์ได้อย่างแท้จริงด้วยพระองค์เอง  และทำให้พระองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น  มิใช่เพราะอำนาจลึกลับ  หรือพระเจ้าบนสรวงสวรรค์แต่งตั้งให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า  แต่
เพราะพระองค์ทรงตรัสรู่ธรรมวิเศษด้วยปัญญาของพระองค์เอง  ปัญญานั้นเรียกว่า โพธิญาณ  แปลว่า  ปัญญาตรัสรู้  จากพระพุทธประวัติ  เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสละความสุขทางโลกออกบวชเพื่อแสวงหา  โมกขธรรม  คือ  ธรรมที่ทำให้หลุดพ้นจากกิเลสซึ่งพระองค์ทรงค้นหาด้วยวิธีการวิจัย คือ ตั้งสมมติฐานว่า  ถ้าทำเช่นนี้แล้วจะได้อะไร  แล้วทดลองด้วยการศึกษาวิธีการจากสำนักต่างๆ  จนกระทั่งถึงการกระทำทุกรกิริยาซึ่งยากที่ผู้ใดจะกระทำได้  เพื่อให้ได้คำตอบ  จนพระองค์ทรางพบว่าวิธีการต่างๆ  เหล่านั้นไม่ได้ทำให้พ้นจากทุกข์ได้จริง พระองค์ก็ทรงเริ่มค้นคว้าด้วยวิธีการของพระองค์เอง  โดยทรงใช้ปัญญาอันล้ำเลิศของพระองค์ในการค้นหาโมกขธรรมที่ทำให้ทรงหลุดพ้นจากกิเลส  จนตรัสรู้ได้สำเร็จ
                2.  ทรงปัญญาล้ำเลิศในพระธรรม   พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์  เป็นเครื่องยืนยันถึงพระปัญญาของพระองค์ได้อย่างดียิ่ง  พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้นมีมากมายครอบคลุมและมีการจำแนกไว้อย่างเหมาะสมแก่ผู้รับคำสอน  ได้แก่  โลกิยธรรม  คือ  ธรรมของชาวโลก  สำหรับสอนผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด  เช่น  การครองเรือน  การทำมาหากิน  การคบหาสมาคม  การปกครองบ้านเมือง  เป็นต้น  ซึ่งครอบคลุมความต้องการของชาวโลกได้ทั้งหมด  และ  โลกุตตรธรรม  คือ  ธรรมของผู้ปฏิบัติธรรม  สำหรับสอนผู้ที่มุ่งนิพพาน  ซึ่งมีขั้นตอนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ  ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงรู้ด้วยปัญญาของพระองค์ว่า  มนุษย์ทุกคนไม่เหมือนกันมีความแตกต่างกัน  พระธรรมที่จะสอนคนเหล่านั้นจึงแตกต่างกันตามระดับของปัญญาและความต้องการแต่ละคน  นอกจากนี้
พระธรรมของพระองค์ยังสามารถทดลองพิสูจน์ได้  เพราะเป็นเรื่องของเหตุและผลทันสมัยอยู่เสมอ  แม้กาลเวลาล่วงเลยมาถึง 2,600 ปี แล้วก็ตาม
จนกระทั้งเด็กยอมรับเอง เป็นต้นจนกระทั้งเด็กยอมรับเอง เป็นต้น
                3.  ทรงปัญญาล้ำเลิศในการสอน   วิธีการสั่งสอนของพระองค์ได้แสดงให้เห็นว่าทรงมีพระปัญญาล้ำเลิศจริง  ได้แก่  การเตรียมการสอน  ซึ่งเป็นหลักการอันสำคัญยิ่งในการสอนทั่วไป  เป็นหลักที่ทันสมัย  แม้ในปัจจุบันก็ยังถือว่าเป็นเรื่องสำคัญในการสอน  พระองค์จะทรงเตรียมการล่วงหน้าก่อนที่จะสอนบุคคลต่างๆ  ได้อย่างเหมาะสม  ตัวอย่างเช่น  เมื่อทรงสอนพระองคุลิมาล  พระองค์ต้องแสดงฤทธิ์ให้พระองคุลิมาลเกิดความอัศจรรย์ใจมีความสนใจเสียก่อน  แล้วจึงสอนด้วยิวธีที่แยบคาย  เป็นต้น  นอกจากนี้ในเรื่องการเตรียมผู้เรียนหรือผู้ฟังคำสอนให้พร้อมที่จะรับคำสอนด้วย อนุปพพิกถา  คือ  การสอนจากง่ายไปหายากเป็นขั้นๆ ไป  เมื่อผู้เรียนพร้อมดีแล้วจึงทรงสอนธรรมในขั้นสูงต่อไป  นอกจากนี้ พระองค์ยังใช้วิธีสอนที่เหมาะสมกับพื้นฐานของผู้รับคำสอนด้วย  ตัวอย่างเช่น  ทรงสอนเด็กที่กำลังซุกซนไล่ตีงู  โดยใช้คำถามถามเด็กไปเรื่อยๆ
 จนกระทั้งเด็กยอมรับเอง เป็นต้น
 https://sites.google.com/site/socialstudiesm4/bth-thi1/1-2-phuthth-pra-wa

 

พระมหากรุณาคุณ



3. พระมหากรุณาคุณ
                พระมหากรุณาคุณ  หมายถึง  พระคุณของพระพุทธเจ้าที่ทรงตั้งพระทัยจะเผยแผ่พระธรรมสั่งสอนสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ของพระองค์ที่มีต่อสัตว์โลก  โดยเสด็จไปแสดงธรรมโปรดสัตว์ตั้งแต่ตรัสรู้จนปรินิพพาน  ทรงฝึกอบรมสั่งสอนบุคลทุกเพศทุกวัยทุกชั้นวรรณะให้บรรลุมรรคผลแห่งความดับทุกข์  อย่างน้อยเป็นกัลยาณปุถุชน  คือ  บุคคลผู้มีคุณธรรมสูง ยกเว้นผู้ที่เป็น  ปทปรมะ  คือ  บุคคลผู้ด้อยปัญญาไม่สามารถเรียนรู้ได้  หรือที่เรียกว่า บัวใต้น้ำ  พระพุทธองค์ทรงเป็นศาสดาของมนุษย์  3  จำพวกคือ
1.               ผู้รู้ได้เร็วพลัน                                                                                                      
2.               ผู้ค่อยๆ รู้ไปตามลำดับ
3.               ผู้พอฝึกฝนอบรมได้
ทรงเป็นศาสดาของเทวดา  3  จำพวกคือ
1.               สมมติเทพ  แปลว่า  เทวดาโดยสมมติ หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน  พระราชินี  และพระบรมวงศานุวงศ์
2.               อุปปัติเทพ แปลว่า  เทวดาโดยกำเนิด  หมายถึง  เหล่าเทวดา  พระอินทร์  และพระพรหมทั้งหลาย
3.               วิสุทธิเทพ  แปลว่า  เทวดาโดยความบริสุทธิ์  หมายถึง  พระอรหันต์
พระมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้านั้นมีแสดงให้เห็นอยู่ในพุทธประวัติมากมายซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
1.  ทรงพระกรุณาสั่งสอนโลก   เมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสรุ้แล้วนั้น  ประโยชน์ส่วนพระองค์ก็เป็นอันจบสิ้น  ไม่มีธุระที่จะต้องทรงทำอีก
ต่อไป  ดังที่ได้ตรัสบอกแก่ปัญจวคีในวันที่แสดงปฐมเทศนาว่า กตัง  กรณียัง....  กิจธุระที่พึงทำ ได้ทรงทำเสร็จสิ้นแล้ว...”      “อยมันติมาชาติ  นัตถิทานิ  ปวุนัพภโว....  ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย  เรื่องเกิดใหม่สิ้นสุดกันที...”         พุทธพจน์ดังกล่าวแสดงถึงความจบสิ้นของประโยชน์ส่วนพระองค์  พระองค์ใช้เวลา
ตกลงพระทัยอยู่หลายวันว่า จะทรงนำเอาความจริงที่ตรัสรู้นั้นไปเที่ยวสั่งสอนต่อผู้อื่นหรือไม่  ถ้าพระองค์ตกลงพระทัยไม่สั่งสอนประโยชน์ส่วนพระองค์ก็ยังคงอยู่  คือดำรงชีพไปจนถึงอายุขัยก็ดับขันธปรินิพพานไป  ไม่ต้องทรงเหน็ดเหนื่อยตรากตรำ  แต่ประโยชน์ของชาวโลกจะเสียหายร้ายแรง คือ ผู้ที่จะได้รู้เห็นจริงแล้วพ้นทุกข์ตามพระองค์ไปจะไม่มีเลย  โลกจะไม่มีพระพุทธศาสนา  ไม่มีคำสั่งสอนอันประเสร็ฐแก่ชาวโลก  การคิดถึงประโยชน์ของผู้อื่น  โดยไม่สนใจกับความทุกข์ยากของพระองค์เอง  แสดงให้เห็นถึงความกรุณาอันยิ่งใหญ่ที่มีอยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์
                2.  ทรงพระกรุณาเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกล   พระองค์เริ่มแผยแผ่คำสั่งสอนด้วยการเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์  ต่อจากนั้นก็ทรงสั่งสอนเรื่อยมาจนมีพุทธสาวาจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ  พระองค์ทรงให้พุทธสาวกเหล่านั้นเป็นกำลังสำคัญในการสั่งสอนพระธรรมให้กว้างขวางยิ่งขึ้น  โดยมีพระดำรัสว่า                 ภิกษุทั้งหลาย  เราได้พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์  ทั้งที่เป็นของมนุษย์  แม้ท่านทั้งหลายก็เหมือนกัน  ท่านทั้งหลายจงเที่ยวไปในชนบท  เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนเป็นอันมาก  แต่อย่าไปรวมกัน  2  รูป  โดยทางเดียวกัน  จงแสดงธรรมมีคุณในเบื้องต้น  ท่ามกลาง  ที่สุดจงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถพยัญชนะ  อันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง  สัตว์ทั้งหลายที่มีกิเลศบังปัญญาดุจธุลีในจักษุน้อย เป็นปกติมีอยู่  เพราะโทษที่ไม่ได้ฟังธรรม  ย่อมเสื่อมจากคุณที่จะพึงได้พึงถึงผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักรมีอยู่  แม้เราก็จะไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อจะแสดงธรรม
                พระสาวกทั้งหลายจึงแยกย้ายกันออกเผยแผ่พระธรรม  รวมทั้งพระองค์เองก็ทรงออกเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นระยะเวลานานถึง  45  ปี  ทรงบุก
บั่นไปในแคว้นต่างๆ  มากมาย  เพื่อแสดงธรรมอำนวยประโยชน์แก่ผู้อื่น  โดยไม่ประสงค์ผลตอบแทนใดๆ  ทรงพระกรุณาในการสั่งสอนเพื่อให้พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ต่อชาวโลกให้มากที่สุด  โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ
                3.  ทรงพระกรุณาสั่งสอนแม้ยากลำบาก   พระองค์ต้องผจญกับอุปสรรคและความยากลำบากมากมาย  ตลอดระยะเวลา  45  ปี  ที่พระองค์ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนา  หากแต่พระกรุณาของพระองค์ที่เต็มเปี่ยมอยู่ในพระทัย  ทำให้ผจญกับอุปสรรคนั้นได้  เพื่อประโยชน์ต่อชาวโลกโดยเฉพาะดังตัวอย่าง  เช่น  ได้เสด็จไปโปรด  ชุมพุกะ  กับนักบวชอยู่ในคณะอาชีวก  ซึ่งเป็นนักบวชชีเปลือย   ชัมพุกะนิยมปลงผมโดยการถอนด้วยเสี้ยนไม้ตาล  และชอบกินอาจมเป็นอาหาร  จนนับบวชด้วยกันจับได้  และรังเกียจขับไล่ออกจากสำนัก  จึงมาตั้งตนเป็นผู้วิเศษ  ยืนตีนเดียวอ้าปากกินลม  อยู่ในชะง่อนหินแห่งหนี่งนอกเมือง  ซึ่งเป็นที่ที่ชาวบ้านใช้เป็นที่ถ่ายทุกข์  พอตกกลางคืนก็แอบกินอาจมที่ชาวบ้านถ่ายเอาไว้  ชาวเมืองเลื่อมใสด้วยไม่รู้ในความลับ  จนความเป็นผู้วิเศษของชัมพุกะมาถึงพระพุทธเจ้าซึ่งเสด็จผ่านทางเมืองนั้น  วันหนึ่งตอนใกล้รุ่ง  พระองค์ทรงแผ่ข่ายพระญาณพบภาพของขัมพุกะ  ในเย็นวันนั้นจึงเสด็จไปยังสถานที่ที่ชัมพุกะแสดงฤทธิ์ยืนขาเดียวอยู่  อ้อนวอนขอที่พักจากชัมพุกะ  ได้ที่พักอยู่ห่างออกไปหน่อย  ในคืนนั้นทรงแสดงปาฏิหาริย์ให้ชัมพุกะเกิดความตื่นเต้น  พอรุ่งเช้าก็ได้สนทนากัน  ตอนหนึ่งชัมพุกะพลั้งปากอวดตัว่ายืนขาเดียวเหนี่ยวกินลมมา 45 ปี  ยังไม่เคยเห็นสิ่งอัศจรรย์อย่างนี้มาก่อน  พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ชัมพุกะ  เธอหลอกลวงชาวโลกได้  แต่จะหลอกลวงเราไม่ได้”   แล้วพระองค์ก็แจงความลับของชัมพุกะ  ชัมพุกะยอมจำนน  ได้สำนึกและกล่าวขอขมา  พระองค์ก็ให้ผ้าแก้ชัมพุกะ  เพื่อพันกาย  แล้วทรงแสดงพระธรรมคำสั่งสอนจนชัมพุกะได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล  เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นพุทธกิจของพระองค์ที่ทรงมีความกรุณา  แม้ต้องไปค้างคืนในสถานที่อันน่ารังเกียจ  และต้องเสวนากับคนที่น่ารังเกียจเช่นนี้  เพราะพระทัยที่เปี่ยมไปด้วยความกรุณาต่อคนประหลาดเพียงคนเดียว  พระมหากรุณาคุณของพระองค์มีมากมายในการทรงทนกับความลำบาก  เพื่อให้ชาวโลกได้รู้พระธรรม  จนแม้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน  ยังประทานพระปัจฉิมวาจาไว้เป็นสมบัติคู่โลก  โดยเอาพระสรีระซึ่งกำลังจะแตกสลายของพระองค์เป็นอุปกรณ์การสอน  โดยตรัสว่า
                หันททานิ  ภิกขเว  อามันตยามิโว  วยธัมมา  สังขารา  อัปปมาเทส  สัมปาเทถะ   ดูกอ่นภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้เราผู้พระตถาคตเตือนท่านทั้งหลายให้รู้  สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมความฉิบหายไปเป็นธรรมดา  ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้สำเร็จด้วยไม่ประมาทเถิด    นับเป็นพระมหากรุณาคุณที่เปี่ยมล้น  แม้จะหลับพระเนตรปรินิพพานแล้ว   ยังทรงฝากคำสั่งสอนไว้เป็นประโยชน์อันไพศาลแก่ชาวโลก

ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิก

 ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิกา 

     ในสมัยพุทธกาลมีพุทธสาวก พุทธสาวิกา และชาวพุทธจำนวนมากที่มีบทบาทสำคัญใน๙านะเป็นกำลังช่วยเหลือพระพุทธเจ้าในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา สำหรับในชั้นนี้จะได้ศึกษาประวัติของท่านเหล่านี้ ได้แก่ พระมหากัจจายนะ พระภัททากัจจานาเถรี และนางขุชชุตตรา

1. พระมหากัจจายนะ
     พระมหากัจจายนะ เป็นพุทธสาวกที่มีความรุ้แตกฉาน ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นเลิศในการอธิบายหลักธรรมให้เข้าใจได้ง่าย และเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในแคว้นอวันดี
     พระมหากัจจายนะ เดิมชื่อ กัญจนะ หรือ กาญจนะ (แปลว่า ทอง) ท่านเกิดในสกุลพราหมณ์กัจจายนโคตร บิดาของท่านเป็นปุโรหิตอยู่ในราชสำนักของพระเจ้าจันณฑโชต แห่งกรุงอุชเชนี เมืองหลวงของแคว้นอวันดี เมื่อเจริญวัยได้เรียนจนจบไตรเพท ครั้นบิดาถึงแก่กรรม กาญจนะหรือกัญจนะได้รับแต่งตั้งให้เป็นปุโรหิตแทนบิดา จึงได้ชื่อว่า กัจจายนปุโรหิต ตามตระกูล เมื่อพระเจ้าจันฑปัชโชตทรงทราบว่า มีศาสดาองค์ใหม่ซึ่งประชาชนพากันเรียกว่า พระพุทธเจ้า เกิดขึ้นในแคว้นมคธของพระเจ้าพิมพิสาร กำลังเสด็จออกสั่งสอนประชาชน ธรรมที่พระงอค์ทรงสั่งสอนนั้นเป็นธรรมอันประเสริฐให้สำเร็จผลประโยชน์แก่ผูประพฤติปฏิบัติ จึงมีพระราชประสงค์จะนิมนต์พระพุทธเจ้ามาประกาศศาสนาที่กรุงอุชเชนี จึงทรงแต่งตั้งคณะทูตขึ้นคณะหนึ่งมีกัจจายนปุโรหิตเป็นหัวหน้าไปทูลเชิญเสด็จพระพุทธเจ้า ในการเดินทางไปครั้งนี้กัจจายนปุโรหิตได้กราบทูลขอลาบวชด้วย เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว กัจจายนปุโรหิตพร้อมด้วยคณะ 7 คน ไดเดินทางไปสู่ที่ประทับของพระพุทธเจ้าและได้เข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมให้ฟัง ในที่สุดคณะทูตทั้ง 8 ก็ได้บรรลุอรหัตตผลพร้อมกันทั้งหมด จากนั้นจึงได้กราบทูลขออุปสมบท พระพุทธเจ้าได้ทรงอนุญาติให้บวชเป็นพระภิกษุด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา
     ครั้นอุปสมบทแล้ว กระกัจจายนะจึงกราบทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าให้เสด็จไปยังกรุงอุชเชนี ตามพระราชหระสงค์ของพระเจ้าจัณฑปัชโชต พระพุทธเจ้าจึงตรัสสั่งให้พระกัจจายนะพร้อมด้วยพระภิกษุบริวารทั้ง 7 เดินทางไปแทนพระองค์ พระกัจจายนะพร้อมด้วยพระภิกษุบริวารจึงได้เดินทางกลับกรุงอุชเชนี เข้าเฝ้าพระเจ้าจัณฑปัชโชตและแสดงธรรมถวาย จนพระเจ้าจัณฑปัชโชตฟังแล้วเกิดความเลื่อมใส ประกาศพระองค์เป็นพุทธมามกะหรือพุทธศาสนิกชนในเวลาต่อมา
     พระกัจจายนะจำพรรษาอยู่ในกรุงอุชเชนีช่วงเวลาหนึ่งได้ประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ชาวเมือง ทำให้ชาวเมืองจำนวนมากเกิดความเลื่อมใสหันมานับถือพระพุทธศาสนา ต่อมาพระกัจจายนะได้เดินทางกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ซึ่งขณะนั้นพระองค์ประทับอยู่ ณ ตโปทาราม กรุงราชคฟห์ ขณะที่พักอยู่ร่วมพระอารามกับพระพุทธเจ้านั้น ได้มีพระสงฆ์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงแสดงไว้โดยย่อแล้วไม่เข้าใจ ได้มาขอให้พระกัจจายนะอธิบายให้ฟัง พระกัจจายนะจึงอธิบายขยายความของธรรมนั้นอย่างละเอียด จนพระสงฆ์กลุ่มดังกล่าวเข้าใจเป็นอย่างดี
     จากการที่พระกัจจายนะเป็นผู้ฉลาดในการอธิบายขยายความย่อของธรรมให้พิศดารและให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ได้ ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านอธิบายความย่อแห่งคำสอนของพระองค์ให้พิสดารอย่างถูกต้อง พระกัจจายนะเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระศาสนาเป็นอันมาก โดยเฉพาะในแคว้นอวันดี พระภิกษุทั้งหลายจึงเรียกท่านว่า พระมหากัจจายนะ
     สมัยหนึ่ง พระมหากัจจายนะได้เดินทางกลับมาจำพรรษา ณ กรุงอุชเชนี ขณะที่ท่านได้ไปพักอยู่ที่เชิงเขาชื่อปวัตตะ เมืองกุรุระฆระในแคว้นอวีนตีภาคใต้ มีอุบาสิกาชื่อ โสณะ กุฏิกัณณะ มาคอยอุปัฏฐากรับใช้ท่าน มีความประสงค์จะบวช แต่ไม่สามารถบวชได้เพราะไม่มีพระสงฆ์เพียงพอ เนื่องจากตอนนั้นพระพุทธเจ้าทรงกำหนดระเบียบการบวชไว้ว่า จะต้องมีพระภิกษุ 10 รูปขึ้นไป จึงจะครบองค์สงฆ์ทำพิธีบวชพระภิกษุได้ พระมหากัจจายนะจึงให้โสณะบวชเป็นสามเณรไปก่อน ทั้ง ๆ ที่อายุมากแล้ว ท่านรออยู่ถึง 3 ปี จึงได้พระสงฆ์ครบ 10 รูป เพียงพอที่จะบวชเป็นพระภิกษุได้
     เมื่อพระโสณะกุฏิกัณณะบวชแล้วปรารถนาจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เพราะท่านไม่เคยเห็นพระพุทธองค์จึงไปลาพระมหากัจจายนะ ซึ่งพระมหากัจจายนะก็อนุญาตด้วยดี และได้ฝากให้พระโสณะทูลขอผ่อนผันวินัย 5 ประการ ดังนี้
          ประการที่หนึ่ง ในแคว้นอวันตีตอนใต้ มีพระภิกษุน้อย ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดทรงอนุญาตการอุปสมบทด้วยพระสงฆ์น้อยว่า 10 รูป
          ประการที่สอง ในแคว้นอวันตีตอนใต้ พื้นที่ขรุขระไม่สม่ำเสมอ ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดทรงอนุญาตรองเท้าเป็นชั้น ๆ
          ประการที่สาม ในแคว้นอวันตีตอนใต้ ชาวบ้านอาบน้ำทุกวัน ขอได้โปรดทรงอนุญาตให้พระสงฆ์อาบน้ำได้เป็นนิตย์
          ประการที่สี่ ในแคว้นอวันตีตอนใต้ มีเครื่องลาด (นิสีทนะ) ที่ทำด้วยหนังสัตว์ เช่น หนังแพะ หนังแกะ เป็นต้น ขอได้โปรดทรงอนุญาตให้ภิกษุใช้เครื่องลาดดังกล่าว
          ประการที่ห้า ในแคว้นอวันตีตอนใต้ ชาวบ้านนิยมถวายจีวรแก่พระภิกษุผู้ที่ไม่ได้อยู่วัด โดยฝากพระภิกษุอื่นไว้ เมื่อพระรูปนั้นกลับมาไม่ยอมรับจีวร เพราะกลัวว่าจะผิดพุทธบัญญัติในกรณีเก็บจีวรไว้เกิน 10 วัน ขอได้โปรดตรัสบอกวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับจีวรว่าจะทำอย่างไร
     พระโสณะกุฏิกัณณะได้เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ ณ วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ได้กราบทูลขอพร 5 ประการดังกล่าว พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตตามที่ขอทุกประการ สำหรับประการที่หนึ่งทรงอนุญาตว่า ในท้องถิ่นทุรกันดาร หาพระสงฆ์ยาก ให้ใช้พระสงฆ์ 5 รูปก็บวชกุลบุตรให้เป็นพระภิกษุได้ สำหรับประการที่ห้าทรงอนุญาตว่า ให้พระภิกษุรับจีวรที่ทายกถวายลับหลังได้ จีวรยังไม่ถึงมือของพระภิกษุนั้นตราบใด ก็ยังไม่ถือว่าเธอมีสิทธิ์ครอบครองในจีวรนั้น การผ่อนผันทางวินัยเหล่านี้จึงเป็นระเบียบปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
     พระมหากัจจายนะเป็นผู้มีรูปงาม มีผิวขาวเหลืองดุจทองคำสมตามชื่อเดิมของท่านว่า กัญจนะ บุตรเศรษฐีผู้หนึ่งเห็นท่านเข้านึกคะนองในใจว่า ถ้าได้ภรรยารูปงามเหมือนอย่างท่านจักเป็นที่พอใจยิ่งนัก ด้วยอกุศลจิตเพียงเท่านั้น บุตรเศรษฐีก็เปลี่ยนจากเพศชายเป็นเพศหญิง ภายหลังได้ขอขมาท่านแล้วจึงกลับเป็นเพศชายดังเดิม พระมหากัจจายนะเกิดความสลดใจในเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อเห็นว่ามีคนหลงใหลความมีรูปของท่านแล้วเกิดโทษ ท่านจึงอธิษฐานให้รูปร่างอ้วน ศรีษะสั้น พุงพลุ้ย เพื่อไม่ให้มีใครหลงใหลท่านอีก ซึ่งในประเทศไทยรู้จักท่านในนาม พระสังกระจาย หรือ พระสังกัจจายน์
     พระมหากัจจายนะมีชีวิตมาถึงสมัยหลังพุทธปรินิพพาน ท่านได้ออกเผยแผ่พระศาสนาในแคว้นอวีนตีโดยได้แสดงธรรมให้พระเจ้ามธุราชอวันตีบุตร ซึ่งเป็นผู้สืบราชสมบัติต่อจากพระเจ้าจัณฑปัชโชต จนกษัตริย์พระองค์นี้เลื่อมใสประกาศพระองค์เป็นอุบาสก นับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ พระมหากัจจายนะดำรงอายุสังขารตามสมควรอก่กาลก็นิพพาน แต่สถานที่นิพพานไม่มีหลักฐานปรากฏ

คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง

     พระมหากัจจายนะมีคุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตหลายประการ ดังนี้
          1. เป็นคนรอบคอบ คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จาก ในสมัยเป็นปุโรหิตได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าจัณฑปัชโชตให้เป็นผู้ไปกราบทูลเชิญพระพุทธเจ้าเสด็จมายังกรุงอุเชนีเพื่อแสดงธรรมโปรด ก่อนออกเดินทางจากกรุงอุชเชนีไปยังกรุงราชคฤห์ ท่านได้กราบทูลลาพระเจ้าจัณฑปัชโชตขอบวชในพระพุทธศาสนาด้วย ทั้งนี้เนื่องจากท่านเห็นว่า ระยะทางระหว่างกรุงอุชเชนีกับกรุงราชคฤห์นั้นไกลมาก จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทั้งทีก็ควรทำให้เรียบร้อยทุกอย่าง
          2. เป็นผู้ยึดมั่นต่อคำสั่ง คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากเมื่อครั้งได้รับคำสั่งจากพระเจ้าจัณฑปัชโชตให้ไปกราบทูลเชิญพระเพุทธเจ้าให้เสด็จไปยังกรุงอุชเชนีให้ได้และท่านก็ทำได้สำเร็จ กล่าวคือ เมื่ออุปสมบทและบรรลุอรหัตผลแล้ว ท่านก็ได้กราบทูลเชิญพระพุทธเจ้าให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดพระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวเมืองอุชเชนี
          3. ตั้งใจทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากการที่ท่านได้รับมอบหมายให้ไปประกาศพระศาสนา ณ กรุงอุชเชนี แทนพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านก็ทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดีสามารถทำให้พระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวเมืองอุชเชนีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และยังเป็นผู้สามารถฮธิบายขยายความย่อของพระธรรมให้ละเอียดพิสดาร เข้าใจง่ายได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า
          4. เป็นผู้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากการที่ท่านรูจักปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา โดยทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงแก้ไขพุทธบัญญัติบางข้อเกี่ยวกับปัจจันตชนบท (ท้องถิ่นทุรกันดาร) เพราะตามพุทธบัญญัติเดิมพระภิกษุในปัจจันตชนบทซึ่งอยู่ในเขตถิ่นกันดารปฏิบัติตามได้ยาก ซึ่งเรื่องนี้พระพุทธเจ้าก็ทรงแก้ไขให้
          5. เป็นผู้มองเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากการที่ท่านยอมอธิษฐานจิตเปลี่ยนแปลงรูปที่สวยงาม มีผิวพรรณดั่งทอง ที่ใครเห็นแล้วก็ชอบและหลงใหล ให้กลายเป็นรูปร่างอัปลักษณ์น่าเกลียด ทั้งนี้เพราะท่านเห็นว่าการมีรูปงามบางครั้งอาจทำให้เกิดโทษแก่ผู้อื่น ดังตัวอย่างที่เกิดกับโสเรยยะ บุตรของเศรษฐีแห่งโสเรยนคร



http://jakkrit-buddhism2.blogspot.com/2010/07/blog-post.html

พระภัททากัจจานาเถรี

2. พระภัททากัจจานาเถรี

     พระภัททากัจจานาเถรี เป็นพุทธสาวิกาที่เป็นแบบอย่างของความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดี ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้มีคุณธรรมพิเศษ จึงเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ประวัติของท่านจึงมีคุณค่าควรแก่การศึกษา และยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต
     พระภัททากัจจานาเถรีเป็นจ้าหญิงแห่งโกลิยวงศ์ พระนามเดิม คือ พิมพา (แปลว่า สวย) เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะ เจ้าผู้ครองกรุงเวทหะ กับพระนางอมิตตา กนิษฐภคินีของพระเจ้าสุทโธทนะ และเป็นพระกนิษฐาของเจ้าชายเทวทัต พระนางพิมพามีพระนามที่เรียกกันหลายชื่อ ได้แก่ ยโสธรา (แปลว่า สง่างามน่าเกรงขาม) ภัททา (แปลว่า เจริญตา) และกัจจานา (แปลว่า ทอง) แต่ส่วนมากเรียกกันว่า พระนางพิมพา หรือ ยโสธรา เมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษา ได้อภิเษกสมรสเป็นชายาของเจ้าชานสิทธัตถะ ทั้งสองพระองค์เสวยสุขในราชสมบัติจนพระชนมายุได้ 29 พรรษาเท่ากัน เพราะประสูติในวันเดียวกัน เจ้าหญิงทรงมีพระโอรสกับเจ้าสายสิทธัตถะพระองค์หนึ่ง คือ เจ้าชายราหุล
     ในวันหนึ่งที่พระนางประสูติพระโอรสนั่นเอง เจ้าชายสิทธัตถะก็ได้เสด็จออกผนวช ทำให้พระนางทรงเสียพระทัยเป็นอย่างมาก แต่ก็ทรงติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ตลอดเวลาด้วยความเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เมื่อทรงทราบข่าวว่าในระหว่างแสวงหาสัจธรรมเจ้าชายสิทธัตถะทรงปฏิบัติเช่นไรก็จะปฏิบัติตามเช่นนั้นทุกอย่าง เช่น ทรงทราบว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงลดอาหารก็ลดตาม ทรงทราบว่าเจ้าชายสิทธัตถะนุ่งห่มด้วยผ้าฝาดของเปลือกไม้ ก็ทรงนุ่งห่มอย่างนั้น เหตุการณ์เช่นนี้ได้ดำเนินไปตั้งแต่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชไปเรื่อย จนถึงวาระที่ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนางก็ทรงคอยสดับข่าวอยู่สมอว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์เมื่อไร
     เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะและพระประยูรญาติได้ถวายการต้อนรับ และจัดให้พระพุทธองค์พร้อมพระสงฆ์สาวกประทับที่นิโครธาราม ซึ่งเป็นอุทยานนอกเมือง วันรุ่งขึ้นพระพุทธองค์ได้เสด็จออกบิณฑบาตไปตามถนนในเมือง พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก พระเจ้าสุทโธทนะทรงสดับข่าวเช่นนี้ ทรงสลดพระทัยและทรงพิโรธ ซึ่งได้รีบเสด็จไปยังที่พระพุทธองค์เสด็จบิณฑบาตอยู่ พร้อมตรัสต่อว่าพระพุทธองค์ว่า ทรงปฏิบัติพระองค์ผิดธรรมเนียมกษัตริย์ ทำให้เลื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูล พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่พระเจ้าสุทโธทนะว่า การที่ทรงปฏิบัติเช่นนี้เป็นธรรมเนียมของวงศ์แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่ใช่วงศ์แห่งกษัตริย์หรือขัติยวงศ์แห่งใด จากนั้นพระองค์จึงได้ตรัสหลักธรรมบางประการทำให้พระเจ้าสุทโธทนะทรงเข้าพระทัย คลายความพิโรธหมดสิ้น และได้ดวงตาเห็นธรรมคือสำเร็จเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบัน

     พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ กรุงกบิลพัสตุ์ เป็นวันที่ 7 และได้เสด็จเข้าไปรับบิณฑบาตในพระราชวังตามคำอาราธนาของพระเจ้าสุทโธทนะ พระเจ้าสุทโะทนะและพระประยูรญาติ (ยกเว้นพระนางยโสธราและราหุล) ต่างก็ออกมาถวายการต้อนรับ และถวายอาหารบิณฑบาตอย่างประณีต หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว พระพุทธองค์ก็ได้ทรงแสดงธรรมแก่พระเจ้าสุทโธทนะและพระประยูรญาติ จนบุคคลเหล่านั้นเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งในหลักธรรม และพากันยอมรับธรรมนั้นไปประพฤติ ปฏิบัติ ในฐานะที่เป็นสาวกของพระองค์สืบไป
     ในวันต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอัครสาวก็ได้เสด็จไปโปรดพระนางยโสธราและราหุล ณ ที่ประทับตามคำขอร้องของพระเจ้าสุทโธทนะ เนื่องจากพระนางทรงเศร้าโศกเสียพระทัยมาก ไม่อาจมาเฝ้าฟังธรรมเช่นคนอื่น ๆ ได้ เมื่อพระนางได้เฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงผวาเข้ากราบพระบาทของพระพุทธเจ้าและสยายพระเกศาลงที่พระบาทพร้อมกับพระหัตถ์ทั้งสองกอดพระบาทพระพุทธองค์ไว้แน่นและทรงกรรแสงอย่างน่าสงสาร พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเล่าถึงคุณงามความดีของพระนางในอดีต ตรัสชื่นชมพระนางว่าเป็นผู้ที่มีคุณอันยิ่งใหญ่ทรงช่วยเหลือพระองค์เสมอมา และเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของพระองค์ จากนั้นก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาปลอบพระนาง พระนางยโสธราได้ตรัยพระธรรมเทศนาแล้ว ทรงควายความเศร้าโศกเสียพระทัย มีแต่ความชื่นชมโสมนัสและได้บรรลุมรรคผลเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบันในที่สุด ส่วนพระราชโอรสราหุล ผู้ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 7 พรรษาเท่านั้น ในวันต่อมาพระพุทธองค์ได้ทรงโปรดให้ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา
เมื่อเวลาล่วงเลยมา พระนางยโสธราได้ทรงปรารภถึงการออกผนวชบ้าง เพราะเหตุผลว่า เจ้าชายสิตถะผู้เป็นพระสวามีก็ได้ออกผนวช จนได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ราหุลกุมารพระโอรสก็บวชเป็นสามเณร พระญาติทั้งฝ่ายศากยวงศ์และฝ่ายโกลิยวงศ์ ก็เสด็จออกบวชตามพระพุทธองค์กันจนเกือบหมด รวมทั้งพระนางมหาปชาบดีโคตมี ก็ได้เสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษุณีพร้อมกับเจ้าหญิงศากยะจำนวนมาก และขณะนี้พระเจ้าสุทโธทนะก็สิ้นพระชนม์แล้ว ในที่สุดพระนางจึงตัดสินพระทัยออกผนวชได้เข้าไปทูลลาพระเจ้ามหานามะ ซึ่งทรงครองราชสมบัติต่อจากพระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อได้รับอนุญาตแล้วพระนางก็ได้เสด็จไปยังกรุงสาวัตถีที่พระพุทธองค์ประทับอยู่พร้อมบริวาร ทูลขอผนวชเป็นพระภิกษุณี พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาต โดยให้เป็นไปตามขั้นตอนตามเงื่อนไขของการบวชเป็นพระภิกษุณี
     พระภิกษุณียโสธราเมื่อทรงผนวชแล้ว พระภิกษุณีทั้งหลายก็เรียกว่าท่านว่า พระภัททากัจจานาเถรี ท่านได้ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญความเพียรอยู่ประมาณ 1 เดือน ก็สำเร็จมรรคผลเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยคุณธรรมพิเศษ คือ อภิญญา 6 พระพุทธเจ้าจึงทรงยกย่องว่า พระภิกษุณีภัททากัจจานาเป็นเลิศกว่าพระภิกษุณีทั้งหลายในด้านชำนาญในอภิญญา 6 ประการ ได้แก่
          1. สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์เหนือสามัญชนได้ (อิทธิวิธิญาณ)
          2. สามารถฟังเสียงในที่ไกลและเสียงที่เป็นทิพย์ได้ (ทิพพโสตญาณ)
          3. สามารถหยั่งรู้จิตใจและทายใจคนอื่นได้ (เจโตปริยญาณ)
          4. สามารถระลึกอดีตชาติได้ (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ)
          5. สามารถมองเห็นได้ในที่ไกล ๆ หรือมีตาทิพย์ (ทิพพจักขุญาณ)
          6. สามารถทำลายกิเลสหรือเครื่องเศร้าหมองจิตใจทั้งหลายให้หมดสิ้นไปได้ (อาสวักขยญาณ)
     พระภัททากัจจานาเถรีเป็นกำลังสำคัญฝ่ายพระภิกษุณีในการเผยแผ่ประกาศศาสนา ด้วยเหตุ
ที่ท่านมีความสามารถพิเศษในด้านดังกล่าว งานเผยแผ่พระศาสนาของท่านจึงทำได้ในเวลารวดเร็ว
พระภัททากัจจานาเถรีมีพระชนมายุได้ 79 พรรษา จึงได้เข้าไปกราบทูลลาพระพุทธองค์เมื่อนิพพานก่อนที่ท่านจะนิพพานท่านได้นำเอาสอนของพระพุทธเจ้าที่แสดงแก่พระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อคราวเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์เป็นครั้งแรก มากล่าวทบทวนให้คนทั้งหลายที่มาประชุมกันได้ฟังว่า บุคคลผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ควรประพฤติธรรมให้สุจริตไม่ควรประพฤติธรรมให้เป็นทุจริต เพราะบุคคลผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
     กล่าวกันว่า ในวันที่พระภัททากัจจานาเถรีนิพพานได้มีพระภิกษุจำนวน 18,000 องค์ที่ร่วมปฏิบัติธรรมด้วยกันมา ก็นิพพานในวันนั้นด้วย
คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง
     พระภัททากัจจานาเถรีมีคุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตหลายประการ ดังนี้
          1. เป็นผู้มีความอดทนเป็นเลิศ คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากคำกราบทูลของพระเจ้าสุทโทนะต่อพระพุทธเจ้าในครั้งที่พระพุทธองค์เสด็จไปโปรดพระประยูรญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ว่า นับตั้งแต่พระพุทธองค์เสด็จออกผนวช แม้พระนางยโสธราจะทรงเสียพระทัยและมีความทุกข์เป็นอย่างมาก แต่ก็ทรงอดทนไว้และทรงติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้รู้ข่าวว่าพระพุทธองค์ทรงปฏิบัติอย่างก็ทรงทำตาม เช่น ทรงทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงนุ่งห่มด้วยผ้าย้อมฝาดของเปลือกไม้ พระนางก็ทรงนุ่งห่มเช่นนั้น เป็นต้น
          2. เป็นผู้มีความจงรักภักดีและซื่อสัตย์ คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากเมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชตลอดเวลา 6 – 7 ปี ที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จจากไปจนกระทั่งตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มีพระประยูรญาติผู้ปรารถนาดีทรงยินดีจะรับไปอุปถัมภ์เลี้ยงดู ก็ไม่ได้ทรงยินดีแม้แต่น้อย ได้ทรงเฝ้ารอคอยการเสด็จกลับมาของพระพุทธองค์เพื่อเข้าเฝ้าและฟังธรรม
          3. เป็นผู้มีเหตุผล คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากการที่พระพุทธเจ้าไปโปรดถึงที่ประทับของพระนางมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายในเข้าไปทูลว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมา พระนางยโสธราได้เสด็จออกมาเข้าเฝ้าด้วยพระอาการที่แทบทรงพระสติไว้ไปได้ แต่เมื่อพระพุทธองค์ตรัสปลอบ และทรงชี้ให้เห็นถึงพระคุณอันประเสริฐของพระนางที่มีต่อพระองค์ ทรงช่วยเหลือและเสียสละเพื่อพระองค์มามาก ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันได้สดับแล้วก็ทรงคลายความเสียสละพระทัยและคลายความโศกเศร้า กลับมีพระทัยและสติมั่นคงที่เป็นเช่นนี้เพราะพระนางเป็นคนมีเหตุผลนั่นเอง
          4. เป็นผู้มีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง คุณธรรมข้อนี้เห็นได้จากการที่พระนางเสด็จออกผนวช แม้พระนางจะเสด็จออกผนวชเมื่อพระชนมายุประมาณ 40 พรรษา หลังพระประยูรญาติคนอื่น ๆ ก็ตาม แต่ด้วยพระทัยที่มุ่งมั่นและตั้งใจจริง ทรงบำเพ็ญธรรมอยู่ประมาณ 1 เดือน ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ และทรงคุณธรรมเป็นพิเศษอีก 6 ประการที่เรียกว่า อภิญญา 6 จนได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นเลิศกว่าพระภิกษุณีทั้งหลายในด้านชำนาญในอภิญญา 6